วันศุกร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2568

กฏ มีไว้ให้แหก ??

 

กฏ  มีไว้ให้แหก ???

15 สิงหาคม 2568


          การตั้งชื่อสินค้า  หรือ บริการ หรือองค์กรนั้นนับว่ามีความสำคัญเพราะจะเป็นเครื่องบ่งบอกถึงความสำเร็จได้ในระดับหนึ่ง  เพราะชื่อจะช่วยสร้างการรับรู้  การจดจำ   รวมทั้งสร้างภาพลักษณ์ของสินค้า หรือ องค์กรได้    แล้วเราจะมีหลักการในการตั้งชื่ออย่างไรบ้าง  ลองมาสรุปเป็นบทเรียนแล้วถ้า   เราอยากแหกกฎ......ละทำได้หรือไม่   คำตอบคือ....ทำได้แน่นอนเพราะจะได้นำเสนอชื่อที่แหกกฏไว้ในตอนท้ายของตัวอย่างในแต่ละกฎดังต่อไปนี้

1. สะท้อนตัวตนและเอกลักษณ์ของแบรนด์ ( Brand identity)           เช่น การบินไทย (Thai Airways) สิงค์โปรแอร์ไลน์   แจแปนแอร์ไลน์          บอกชัดเจนว่าเป็นสายการบินของประเทศใด   สื่อภาพลักษณ์ความเป็นตัวแทนประเทศนั้น  แต่ก็มีหลายสายการบินใช้นกซึ่งเป็นตัวแทนของการบินเป็นชื่อสายการบินเช่น  EAGLE AIR , KINGFISHER AIR  หรือ อย่าง LUFTHANSA หมายถึงบริษัทการบินของเยรมัน  เป็นต้น   แต่ถ้าแหกกฎ   ก็จะประมาณว่า  TIGER AIR  ของสิงค์โปรที่หยุดบริการไปเรียบร้อย  ไม่รู้ว่าเพราะชื่อหรือไม่ ?? 5555  ในภายหลังถูกทางไต้หวันซื้อกิจการไป    ,  VERGIN AIR  ของอังกฤษ ,

2. จดจำง่าย (Memorable)       เช่น   โออิชิ (Oishi) คำสั้น จำง่าย ออกเสียงได้ทั้งไทยและต่างชาติ  แถมบ่งบอกความเป็นญี่ปุ่นอีกด้วย  แม้จะเป็นสินค้าไทยก็ตาม   แต่ถ้าแหกกฎก็ต้อง  เซปเป้  เป็นชื่อเครื่องดืมที่ไม่มีความหมายแต่ปรากฏว่ามันถูกใจเจน Y ตอนปลาย  กับ Z ตอนต้น   เรียกว่าแหกกฏจนโด่งดังไปเรย

3. สื่อความหมายตรงกับสินค้า (Descriptive) เช่น  น้ำปลาตราปลาหมึก       ชื่อบอกประเภทสินค้าคือน้ำปลา พร้อมภาพประกอบทำให้จำง่าย    แต่ก็มีสินค้าที่เมื่อสัปดาห์ก่อนไปเซ้นทรัลลาดพร้าวสังเกตุเห็นร้านไอศครี  ชี่อ   Guss damn good คือไอศครีม  ที่มีเรื่องราวเป็นคราฟต์ไอศครี      ที่ร้านจะมีเมนูที่เรานึกไม่ออกว่ารสชาดเป็นอย่างไร เช่น  Don’t Give up #18   ที่เป็นรสชาติแรกที่ต้องพยายามทำถึง 18 ครั้งถึงได้สูตรนี้มา  หรือ รสชาดอื่นๆ  Summer Smile, Good Vibes, Cheat Day ฯลฯ ซึ่งสั่งไปแบบไม่รู้ว่าจะเป็นรสชาดอะไร  เพราะร้านนี้เป็นคราฟต์ไอศครีม  ไม่มีแบบว่า มนิลา  ชอค  แบบเพียวๆ  จะเป็นลูกผสมแบบมีหลักการ  และสร้างตัวตนของลูกค้าได้เป็นอย่างดี      แถมยังไปคอลแลปกับสินค้าอื่นๆ  เช่น โก๋แก่  แม่ปรานอม  ตราตะขาบ มาม่า  ส.ขอนแก่น  ซอสพริกศรีราชา  น้ำปลาทิพรส จนนึกภาพไม่ออกว่า น้ำปลากับไอศครีมก็คอลแลปกันได้อย่างลงตัว




4. มีเอกลักษณ์และแตกต่าง (Distinctive)      เลย์ (Lay’s)  ชื่อไทยอ่านง่าย ใช้เสียง “เลย์” ให้แตกต่างจากคำว่ามันฝรั่งทั่วไป   แต่มีแหกกฏในมาเลเซีย    Bok Bok Cui Potato Balls   ไม่รู้ว่าคนหรือ สุนัข ?? ก็ต้องรอดูว่าจะอยู่หรือไม่  บ๊อกๆๆๆ



5. รองรับการเติบโตและขยายตลาด (Expandable)   เซ็นทรัล (Central)     ไม่จำกัดว่าต้องขายสินค้าอะไร สามารถขยายจากห้างสรรพสินค้าไปสู่ธุรกิจโรงแรม อสังหา ฯลฯ    แต่ถ้าแหกกฎก็ต้องห้างนี้เรย  Terminal 21  เหตุผลที่แหกกฎ: ปกติห้างจะใช้ชื่อที่สื่อถึงความหรูหรา Central, Emporium, Siam Paragon แต่ Terminal 21 ใช้คำว่า “Terminal” เหมือนสนามบิน และตัวเลข “21” น่าจะมาจาก ศตวรรษที่ 21   ทำให้ห้างมีธีมในแนวคิดที่แตกต่างจากห้างสรรพสินค้าอื่น 

6. เหมาะสมกับวัฒนธรรมและภาษา (Cultural Fit)   แม่ประนอม   ใช้ชื่อที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น ใกล้ชิดแบบไทย ๆ เหมาะกับกลุ่มลูกค้าในประเทศและต่างชาติที่ชื่นชอบวัฒนธรรมไทย   ถ้าแหกกฎก็ต้อง     ภูเขาทอง (น้ำปลา) ใช้ชื่อสถานที่สำคัญในกรุงเทพฯ วัดสระเกศ – ภูเขาทอง แทนที่จะบอกว่าคือ “น้ำปลา” 

 

7. ค้นหาและจดทะเบียนได้ (Available & Protectable)    ทรู (True)         ชื่อสั้น และจดทะเบียนเป็นเครื่องหมายการค้าได้ชัดเจน ใช้ต่อยอดสู่ธุรกิจอื่นได้    ไม่เป็นคำเฉพาะเช่น ศรีราชา   ถ้าใช้ก็ต้องเป็นคำพร้องเสียงเปลี่ยนตัวสะกดเช่น  XIRAJA   หรือ   ZEN  เป็นต้น

8. กระตุ้นความรู้สึกหรือภาพจำ (Evocative)   กระทิงแดง    สร้างภาพจำถึงพลัง ความแรง และความตื่นตัว เหมาะกับสินค้าประเภทเครื่องดื่มชูกำลัง ,  มาม่า  นึกถึงแม่ นึกถึงอาหาร  , และการใช้คำซ้ำจะช่วยเพิ่มการจดจำได้อีกด้วย   ยำยำ  สนุกสนาน ,  ไวไว  หมายถึงเทน้ำแล้วกินได้เรยไวมากเป็นต้น    แต่ที่แหกกฏ  เช่น Monster  เครื่องดืมชูกำลัง ของสหรัฐอเมริกา  หรือ  UGLY ของอังกฤษที่ไม่รู้ว่ายังอยู่ดีอยู่หรือไม่    ส่วน Monster  ขายดีทั้งในอเมริกา และ ยุโรป

 


          เอสเอ็มอีก็ลองเลือกเอาเองว่าจะใช้หลักใดในการตั้งชื่อสินค้า บริการ หรือองค์กรของท่าน  ว่าใจใช้ตามกฎ  หรือ แหกกฎ  อันนี้ก็แล้วแต่อัธยาศัยเรยครับ..............

 

 

วันอังคารที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

PRIDE & PROUND & POWER

 

PRIDE & PROUND & POWER

21 มิถุนายน 2568



               บทความนี้เขียนในเดือน “มิถุนายน”  ซึ่งเป็น PRIDE MONTH  เพื่อการเฉลิมฉลองความเท่าเทียม  และ ความหลากหลายทางเพศ   โดยที่ประเทศไทยก็เป็นประเทศหนึ่งที่นับได้ว่าเป็นเดสติเนชั่นของเหล่า LGBT+   เพราะในประเทศไทยนั้นความหลากหลายทางเพศได้รับการยอมรับกันอย่างกว้างขวาง   สังคมเปิดรับและให้สิทธิเสรีภาพ แม้บางเรื่องยังคงต้องต่อสู้และแสวงหาต่อไปก็ตาม  

               23 ม.ค. 2568 เป็นวันที่กฎหมายสมรสเท่าเทียม  ซึ่งตัว พรบ.ชื่อเต็มๆคือ  พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2567 มีผลใช้บังคับอย่างเป็นทางการ มอบสิทธิให้กับบุคคลที่มีอัตลักษณ์ทางเพศไม่ว่าเพศใดสามารถจดทะเบียนสมรสได้อย่างเท่าเทียมภายใต้กฎหมาย  ทำให้ประเทศไทยเป็น 1 ใน 38  ประเทศที่การแต่งงานเพศเดียวกันเป็นเรื่องถูกกฎหมาย ได้แก่ อันดอร์รา อาร์เจนตินา ออสเตรเลีย ออสเตรีย เบลเยียม บราซิล แคนาดา ชิลี โคลัมเบีย คอสตาริกา คิวบา เดนมาร์ก เอกวาดอร์ เอสโตเนีย ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส เยอรมนี กรีซ ไอซ์แลนด์ ไอร์แลนด์ ลิกเตนสไตน์ ลักเซมเบิร์ก มอลตา เม็กซิโก เนเธอร์แลนด์ นิวซีแลนด์ นอร์เวย์ โปรตุเกส สโลวีเนีย แอฟริกาใต้ สเปน สวีเดน สวิตเซอร์แลนด์ ไต้หวัน ไทย สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา และอุรุกวัย  โดยส่วนใหญ่อยู่ในยุโรป และ อเมริกา   เอเชียมีสองประเทศคือ  ไทยกับ ไต้หวันเท่านั้น

 

                    ความสงสัยของผมก็คือมีประชากรที่เป็น LGBTQ+ อยุ่กี่คนทั่วโลก  และมีอำนาจการซื้ออยู่ที่เท่าใด   ก็ค้นพบว่ามีประชากรถึง  450 ล้านคน  และมีกำลังซื้อต่อปี ถึง  3.7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีจีน  อินเดีย และ สหรัฐอเมริกา  สามประเทศมีรวมกันถึง  185 ล้านคน คิดเป็น 41 % ของทั้งโลก

(เครดิตภาพ  : ลงทุนแมน / รวมรวม  )



               จะเห็นได้ว่าสัดส่วนประชากร และ อำนาจการซื้อของคนกลุ่มนี้มีจำนวนมากมหาศาลแล้วองค์กรธุรกิจจะมีกลยุทธ์อะไรในการเข้าถึงตลาดกลุ่มนี้   ซึ่งพอสรุปรวมรวมเป็นประเด็นได้ดังต่อไปนี้

 1. กำลังซื้อสูง (High Purchasing Power)

  • กลุ่ม LGBTQ+ โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ มักเป็นกลุ่มที่มีรายได้ค่อนข้างดีและมีอำนาจในการตัดสินใจซื้อ (Discretionary Income)
  • หลายคนไม่มีภาระครอบครัวแบบดั้งเดิม จึงมีงบประมาณสำหรับการบริโภคสินค้าคุณภาพสูง/พรีเมียม
  • จากรายงานของ LGBT Capital, กลุ่ม LGBTQ+ ทั่วโลกมีพลังซื้อรวมมากกว่า 3.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 130 ล้านล้านบาท)

2. แบรนด์ที่สนับสนุน LGBTQ+ มักได้รับความภักดีสูง (Brand Loyalty)

  • ผู้บริโภค LGBTQ+ มักสนับสนุนแบรนด์ที่ “เข้าใจ” และ “เคารพ” ตัวตนของพวกเขา
  • เมื่อรู้สึกว่าถูกยอมรับ พวกเขามักจะจงรักภักดีต่อแบรนด์และช่วยส่งต่อแบรนด์นั้นด้วย word-of-mouth

 3. ขยายฐานลูกค้าและสร้างภาพลักษณ์ที่ทันสมัย

  • การสื่อสารที่ inclusive ทำให้แบรนด์ดูเปิดกว้าง มีความเข้าใจผู้บริโภค และทันสมัย
  • ไม่ได้เข้าถึงแค่กลุ่ม LGBTQ+ เท่านั้น แต่ยังส่งผลดีต่อกลุ่ม “ผู้บริโภคที่สนับสนุนความเท่าเทียม” ด้วย ซึ่งมีอยู่จำนวนมาก

4. ความโดดเด่นในตลาด (Differentiation)

  • ในอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูง การตลาดที่เฉพาะกลุ่ม (niche marketing) เช่น LGBTQ+ marketing สามารถช่วยให้แบรนด์โดดเด่น
  • โดยเฉพาะหากคู่แข่งยังไม่ได้โฟกัสกลุ่มนี้อย่างจริงจัง

 5. ส่งเสริมความยั่งยืนของแบรนด์ (Brand Sustainability)

  • แบรนด์ที่มีจุดยืนด้านสังคมชัดเจน (เช่น สนับสนุนความหลากหลายและสิทธิมนุษยชน) มักได้รับการยอมรับในระยะยาว และมีความยั่งยืนมากขึ้น
  • โดยเฉพาะในยุคที่ “ผู้บริโภครุ่นใหม่” เช่น Gen Z ให้ความสำคัญกับ purpose และจริยธรรมของแบรนด์

6. โอกาสในกิจกรรมและอีเวนต์เฉพาะทาง

  • งาน LGBTQ+ เช่น Pride Parade, Queer Festival หรือคอมมูนิตี้มาร์เก็ต เป็นโอกาสสำคัญในการสร้างการรับรู้แบรนด์และทำกิจกรรมร่วมกับลูกค้า
  • มีช่องทางเฉพาะ เช่น LGBTQ+ influencer, podcast, media ที่เปิดกว้างให้แบรนด์เข้าไปสื่อสาร

 7. สอดคล้องกับแนวโน้มโลก (Global Trend)

  • ธุรกิจระดับโลกจำนวนมาก เช่น Nike, Apple, Coca-Cola, Levi’s, Netflix ต่างมีแคมเปญสนับสนุน LGBTQ+
  • หากแบรนด์ในไทยทำตลาดในแนวเดียวกัน จะสามารถขยับสู่มาตรฐานสากลและสร้างโอกาสในการเติบโตระดับนานาชาติ

เพราะกลุ่ม LGBTQ+ คือกลุ่มที่มีพลังซื้อสูง ซื่อสัตย์ต่อแบรนด์ และเป็นตัวแทนของผู้บริโภคในยุคใหม่
การมุ่งตลาดไปยังกลุ่มนี้จึงไม่ใช่เพียงความถูกต้องในเชิงสังคม แต่เป็น กลยุทธ์ทางธุรกิจที่ชาญฉลาด และสร้างโอกาสในการเติบโตในระยะยาว

 

การทำตลาดสินค้าสำหรับกลุ่ม LGBTQ+ ต้องอาศัยความเข้าใจลึกซึ้งในความหลากหลาย ความละเอียดอ่อน และความต้องการเฉพาะของกลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงทางอารมณ์ (emotional connection) และความภักดีต่อแบรนด์ (brand loyalty) กลยุทธ์ที่สามารถนำมาใช้ได้ มีดังนี้:

1. เข้าใจกลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริง

  • ศึกษาความหลากหลายภายในกลุ่ม LGBTQ+ (เช่น gay, lesbian, bisexual, transgender, queer ฯลฯ) แต่ละกลุ่มมีความต้องการและพฤติกรรมผู้บริโภคที่แตกต่างกัน
  • ใช้การวิจัยตลาด (เชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ) เพื่อเข้าใจ insight และ pain point ของกลุ่มนี้

 2. กำหนด Positioning ที่ชัดเจน

  • สินค้าหรือแบรนด์ควรมีจุดยืนที่สนับสนุนความเท่าเทียม ความหลากหลาย และการยอมรับ (Inclusion & Equality)
  • ตัวอย่าง: แบรนด์ที่สื่อสารว่า “เราสร้างสินค้าสำหรับทุกเพศ” หรือ “สนับสนุนสิทธิของทุกคนในการแสดงออกอย่างเสรี”

3. การสื่อสารการตลาด (Marketing Communication)

  • ใช้ภาพและภาษาที่หลากหลายและไม่เหมารวม (non-stereotypical)
  • เลือกใช้ influencer, ambassador หรือ brand representative ที่เป็น LGBTQ+ หรือมีภาพลักษณ์ที่สนับสนุนความหลากหลาย
  • ทำแคมเปญในช่วง Pride Month (มิถุนายน) อย่างจริงใจ ไม่ทำแค่เพราะเป็นกระแส (ไม่ควรทำ “Rainbow-washing”)

 4. สร้างแบรนด์ที่มี Purpose

  • การตลาดแบบ purpose-driven: สนับสนุนองค์กรหรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับสิทธิ LGBTQ+ อย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่ช่วงเวลาหนึ่ง
  • เช่น ร่วมมือกับมูลนิธิ LGBTQ+, มอบรายได้ส่วนหนึ่งให้กับโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่ม LGBTQ+

 

5. ปรับสินค้าและบริการให้ตอบโจทย์

  • ออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ inclusive เช่น เสื้อผ้าไร้เพศ (gender-neutral fashion), เครื่องสำอาง unisex, หรือแพ็คเกจที่ไม่ระบุเพศ
  • ให้บริการโดยทีมงานที่ได้รับการอบรมเรื่องความอ่อนไหวทางเพศ (gender sensitivity)

6. เลือกช่องทางการตลาดที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย

  • ใช้ social media ที่กลุ่ม LGBTQ+ นิยม เช่น Instagram, TikTok, Twitter
  • ร่วมกิจกรรมหรือออกบูธในงานที่เกี่ยวข้อง เช่น งาน Pride, งาน Community Market

7. เปิดช่องทาง Feedback

  • รับฟังความคิดเห็นจากลูกค้ากลุ่ม LGBTQ+ และนำไปปรับปรุงสินค้า/บริการอย่างจริงจัง
  • สร้างชุมชนหรือ online group ที่เปิดให้พูดคุย แชร์ประสบการณ์ และสร้าง engagement

 


Vizzy Hard Seltzer, a product of Molson Coors, has actively engaged with the LGBTQ+ community, particularly through partnerships and donations, and has also utilized LGBTQ+ imagery in its branding and marketing.

 

ตัวอย่างแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จในการทำตลาด LGBTQ+

  • Absolut Vodka: สนับสนุนสิทธิ LGBTQ+ มายาวนาน มีแคมเปญและ collaboration กับศิลปิน LGBTQ+ จริงจัง
  • MAC Cosmetics: เปิดตัวแคมเปญ “Viva Glam” โดยให้รายได้สนับสนุนผู้ติดเชื้อ HIV/AIDS และ LGBTQ+
  • Nike: ทำคอลเลกชัน “Be True” สนับสนุนความหลากหลายทางเพศ

 

https://www.nbcnews.com/


วันศุกร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

สูงวัย....ใจดี....มีตัง

เครดิตภาพ : บางกอกโพสต์

 


1 กรกฏาคม 2568

               ใครๆก็รู้ว่าประเทศไทยนั้นเข้าสู่ยุคผู้สูงวัยอย่างเป็นทางการ  โดยในปี 2568 ประเทศไทยจะมีประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป มากกว่า 20% ของประชากรทั้งหมด   แปลว่าประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างเต็มรูปแบบ  ซึ่งมีภาษาเรียกอย่างเป็นทางการว่า   สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ (Complete Aged Society)   ทั้งนี้สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่า ในปี 2568 จะมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป จำนวน 14,459,000 คน โดยเป็นชาย 6,057,000 คน และหญิง 8,402,000 คน.

               และหากในอนาคตสัดส่วนประชากรสูงวัยเข้าขั้นที่ 3 ที่เรียกว่า สังคมสูงวัยระดับสุดยอด (Super Aged Society)  หมายถึง สังคมที่มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป มากกว่าร้อยละ 28 ของ ประชากรทั้งหมด (หรือประชากรอายุ65ปีขึ้นมากกว่าร้อยละ 20)   คาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2574 จะเข้าสู่สังคมสูงวัยโดยสมบูรณ์  ตามเกณฑ์ที่กำหนดข้างต้น


(เครดิตภาพ : บางกอกโพสต์)

แล้วประชากรโลกแนวโน้มเป็นอย่างไรบ้าง ??   ด้านล่างคือ ตารางสรุปจำนวนผู้สูงอายุ (อายุ 60+) ในแต่ละทวีป ประจำปี 2024–2025 โดยประมาณร่วมกับสัดส่วนเมื่อเทียบกับประชากรรวมของทวีป:

 

🌍 ทวีป

ปชช.ทั้งหมด (พันล้าน)

ผู้สูงวัย 60+ (%)

ผู้สูงวัย 60+ (ล้านคน)

เอเชีย

4.84

≈ 16%

≈ 774

แอฟริกา

1.55

≈ 6%

≈ 93

ยุโรป

0.74

≈ 25%

≈ 185

อเมริกาเหนือ

0.39

≈ 20%

≈ 78

ลาตินอเมริกา

0.67

≈ 15%

≈ 100

โอเชียเนีย

0.047

≈ 18%

≈ 8.5

รวมโลก

8.23

≈ 1112%

≈ 9901,000

 

               โดยภาพกว้างๆก็คือจะมีประชากรสูงวัยที่   15-20 เปอร์เซนต์ของประชากรในแต่ละทวีป ยกเว้น แอฟริกาที่ระบบสาธารณสุขยังต้องพัฒนาอีกมาก   จะมีอยู่ที่ 6 เปอร์เซนต์เท่านั้น    ค่าเฉลี่ยทั้งโลก  11-12 เปอร์เซนต์  โดยมีประชากรวมทั้งหมดที่สูงวัน 1,000 ล้านคน   จาก 8,200 ล้านคนโดยปรมาณ

โอกาสทางธุรกิจของ SME ที่เชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร โดยเฉพาะ “การเพิ่มขึ้นของผู้สูงอายุทั่วโลก” ในปี 2024–2025 มีความชัดเจนและหลากหลายมาก ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก พร้อมแนวทางพัฒนากลยุทธ์ที่ตอบโจทย์ได้ดังนี้:

โอกาสของ SME: ธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโต

1.  ธุรกิจสุขภาพผู้สูงอายุ (Silver Healthcare)บริการดูแลผู้สูงอายุ (Nursing Home, Caregiver)

คลินิกกายภาพบำบัด, สมุนไพร, การแพทย์แผนไทยอุปกรณ์ช่วยเหลือชีวิต: รถเข็น, เตียงไฟฟ้า, smart watch ตรวจสุขภาพ

2.  ธุรกิจการอยู่อาศัยและการใช้ชีวิตบ้านพักผู้สูงวัย / Senior Housing**Smart Home ปรับแต่งบ้านให้ปลอดภัยกับผู้สูงวัย**ธุรกิจ Renovate บ้านเพื่อผู้สูงอายุ

3.  อาหารและโภชนาการเฉพาะกลุ่ม**อาหารอ่อน, ย่อยง่าย, เสริมโปรตีนและแคลเซียม**ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับวัย 60+***บริการเดลิเวอรี่อาหารเฉพาะทาง

4.  การท่องเที่ยวและกิจกรรมเชิงคุณค่า**ทัวร์สำหรับผู้สูงอายุ (slow travel, พักผ่อน+สุขภาพ)

**กิจกรรมเสริมทักษะ เช่น คอร์สวาดภาพ ดนตรี โยคะ**ศูนย์เรียนรู้/ศูนย์ชุมชนของผู้สูงวัย

5. เทคโนโลยีเพื่อผู้สูงอายุ (Silver Tech)**แอปพลิเคชันดูแลสุขภาพ, เตือนกินยา, แจ้งเตือนฉุกเฉิน

**Gadget/IoT ที่ใช้ง่าย เช่น นาฬิกาฉุกเฉิน, ปุ่มช่วยชีวิต**แพลตฟอร์มจับคู่ caregiver – ลูกค้า

กลยุทธ์ SME ที่ตอบโจทย์ "สังคมผู้สูงอายุ"

1. เข้าใจลูกค้าผ่าน Data & Empathy**ทำ Persona ผู้สูงวัยแยกตามช่วงอายุ: 60–69, 70–79, 80+**เข้าใจความกังวล เช่น สุขภาพ, ความเหงา, ความมั่นใจ***ใช้แบบสอบถามเชิงคุณภาพ + คำแนะนำจากแพทย์/นักจิตวิทยา

2. กลยุทธ์การสื่อสารแบบ “ไม่เหยียดวัย”**ใช้ถ้อยคำให้เกียรติ เช่น “วัยเก๋า” “วัยสร้างสุข” แทน “คนแก่”**ใช้ภาพลักษณ์ที่ดูสดใส กระฉับกระเฉง แทนภาพป่วย/นั่งนิ่ง

3. การออกแบบบริการแบบ Inclusive**สินค้าเปิดง่าย ตัวหนังสือใหญ่ สีคอนทราสต์สูง**เว็บไซต์/แอปควรมีโหมดง่าย (Simplified UI)**Call Center หรือแชตบอทควรเข้าใจภาษาธรรมดา

4. Partner กับภาคสุขภาพหรือรัฐ**ร่วมมือกับคลินิก/โรงพยาบาล/เทศบาล ในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย**ขอรับการสนับสนุนจากโครงการส่งเสริมธุรกิจผู้สูงวัย (เช่น BOI, สสว.)

5. นวัตกรรมจาก “ปัญหาของผู้สูงวัยจริงๆ”***รับฟังความต้องการโดยตรง (Co-Creation with Elderly)**ทดลองตลาดผ่านเวิร์กช็อปเล็กๆ / ศูนย์ผู้สูงวัย

 

“ผู้สูงอายุคือกลุ่มเป้าหมายใหม่ที่เติบโตเร็วที่สุด และ SME ที่เข้าใจปัญหาเฉพาะของคนกลุ่มนี้ก่อน  คือผู้ที่ได้เปรียบทางธุรกิจมากที่สุด”

กฏ มีไว้ให้แหก ??

  กฏ   มีไว้ให้แหก ??? 15 สิงหาคม 2568           การตั้งชื่อสินค้า   หรือ บริการ หรือองค์กรนั้นนับว่ามีความสำคัญเพราะจะเป็นเครื่องบ่งบ...