FOMO OMG โอ้มายก๊อด !
28 มิถุนายน 2568
มีศัพท์ทางการตลาดอยู่คำหนึ่งที่หลายๆคนอาจจะเคยเห็นผ่านตามาบ้าง แต่ไม่ทราบว่าหมายถึงอะไร มีนัยะสำคัญอย่างไร เพราะว่าศัพท์คำนีหากนักการตลาดสามารถสร้างให้เป็น
FOMO ได้แล้วก็จะสามารถสร้างความต้องการได้ ซึ่งหากสินค้านั้น ดี เด่น โดน จริง
ก็จะกลายเป็นการสร้างความยั่งยืนให้แก่องค์กรได้ในอนาคต
การทำให้สินค้าหรือบริการเกิดกระแส
FOMO (Fear of Missing Out) —
ซึ่งเป็นการสร้างกระแส
และให้ผู้บริโภคเกิด ความกลัวว่าจะพลาดสิ่งดี ๆ —
เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ทางการตลาดที่ทรงพลัง โดยเฉพาะกับกลุ่มผู้บริโภคยุคดิจิทัล โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนรุ่นใหม่ ที่เรียกว่าเจน Z เพราะคนในวัยนี้อ่อนไหว
และพร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลง ไม่เหมือนคนรุ่น เจน X หรือ BABY BOOMER ที่มันบริโภคแบบเดิมๆ ไม่อยากเปลี่ยนแปลงเพราะมีความกลัว ประกอบกับมีความภักดีต่อแบรนด์สินค้านั้นไปแล้ว ซึ่งสาเหตุและปัจจัยหลักที่ช่วยกระตุ้นให้เกิด
FOMO ได้อย่างมีประสิทธิภาพมีดังต่อไปนี้
✅ 1. ความจำกัด (Scarcity)
เพราะเราจะกลัวว่าจะไม่มีโอกาสซื้อสินค้านั้นแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขายสินค้าทาง TV ที่ใช้มุกนี้เป็นประจำ
จำนวนจำกัด: เช่น “มีเพียง 100
ชิ้นเท่านั้น” หรือ “หมดแล้วหมดเลย”
เวลาจำกัด:
โปรโมชั่นที่มีช่วงเวลาเฉพาะ เช่น “เฉพาะวันนี้เท่านั้น” หรือ “48 ชั่วโมงสุดท้าย
ตัวอย่างเช่น ” Nike: วางขายรองเท้ารุ่นพิเศษผ่านแอป SNKRS แบบจำกัดเวลาและจำนวน
รองเท้านันยางรุ่นRED เพื่อฉลองแชมป์ยุโรปให้กับลิเวอร์พูล ขายได้
ยอดขาย12,598 คู่ สูงกว่าคาดการณ์ไว้เพียง 1,000 คู่ แถมได้ราคาจาก 300
บาทเป็น 600 บาทอีกด้วย นั่นเป็นเพราะเป็นโอกาสพิเศษจริงๆ ที่ได้แชมป์ยุโรป
IKEA: มีสินค้าบางชิ้นเฉพาะเทศกาลเท่านั้น
Supreme (แบรนด์แฟชั่นจากนิวยอร์ก) วางขายสินค้ารุ่นพิเศษ
(Limited Edition) ทุกวันพฤหัสบดี โดยมีของจำนวนจำกัดมาก
✅ 2. ความพิเศษเฉพาะกลุ่ม
(Exclusivity)
ทำให้ผู้ซื้อรู้สึกว่าเป็นคนพิเศษ
เป็นกลุ่มที่เค้าเลือกให้ได้มีโอกาสซื้อสินค้านี้ คนทั่วไปไม่มีสิทธินะยะ
โดยทั่วไปจะใช้คำว่า
“สำหรับสมาชิกเท่านั้น”, “สินค้ารุ่นพิเศษ”,
หรือ “เชิญเฉพาะกลุ่ม” จะทำการเปิดตัวแบบ
pre-order สำหรับลูกค้าที่สมัครก่อน หรือ เชิญมาร่วมประชุม ดื่มน้ำชา
แล้วจับจองสินค้า แน่นอนว่าสินค้านั้นๆต้องไม่ใช่หลักสิบหลักร้อยบาทเป็นแน่ เช่น
คอนโดมีเนียม
กระเป๋าแบรนด์เนมที่เรียกได้ว่ามีเงินก็ซื้อไม่ได้ต้องเป็นแฟนพันธุ์แท้ด้วย
การทำให้ลูกค้ารู้สึกเป็นคนพิเศษที่ได้ “เข้าถึงก่อนใคร” → เกิดการบอกต่อ และกลัวตกเทรนด์
✅ 3. การแสดงความนิยม
ซึ่งจะเป็นการบ่งบอกหรือแสดงว่า "คนอื่นซื้อแล้ว" เช่น: รีวิวจากลูกค้า จำนวนผู้สั่งซื้อ/จำนวนคนที่กำลังดูสินค้า influencer หรือคนดังใช้สินค้าแล้ว
Amazon และ Shopee แสดงยอดสั่งซื้อ
เช่น “ขายแล้ว 15,000 ชิ้น”, “กำลังมีคนดูสินค้านี้ 248 คน”
รีวิวจากลูกค้าจริงขึ้นมาอยู่หน้าแรก
พร้อมรูปภาพ ซึ่งจะทำให้คนที่เข้ามาในแอปรู้สึกว่าสินค้านี้ “ต้องดีแน่”
เพราะมีคนซื้อเยอะ
หรือ
ร้านอาหารที่มีรูปคนดังไปนั่งรับประทานก็เป็นเครื่องบ่งบอกถึงความนิยมด้วย ขนาดดารา นักร้อง นักการเมือง คนดัง เซเลป
อินฟูยังมาทานอาหารร้านนี้เรย
✅ 4. การใช้ Influencer หรือ KOL (Key
Opinion Leader ) คนดังหรืออินฟลูเอนเซอร์โพสต์ว่าเขาใช้สินค้าบ่งบอกว่า “ใคร
ๆ ก็มี แล้วคุณล่ะ?”
เครื่องใช้ไฟฟ้า Dyson Airwrap ซึ่งก็คือเครื่องเป่าและตกแต่งทรงผมทีมีราคาสูงมาก
เกือบ 2 หมื่นบาท นอกจากเทคโนโลยีที่มาจากงานวิจัยทำให้
Dyson เข้าใจศาสตร์ของการตกแต่งทรงผมมาเป็นทศวรรษต ใช้บิวตี้บล็อกเกอร์ดังอย่าง
คือ คุณปอย ตรีชฎา ส่วนในเมืองนอกใช้ @nikkietutorials
และ @pearypie รีวิวการใช้งาน ทำให้สินค้าเป็นไวรัลอย่างรวดเร็ว
และขาดตลาดในหลายประเทศ โดยใช้คำโปรดโมทว่า : “ทุกคนในวงการใช้ตัวนี้” และพร้อมที่จะจ่าย 2 หมื่นบาท
แทนเครื่องเป่าผมจัดแต่งทรงผมจากจีนที่
หลักพันต้นๆ
✅ 5. การใช้ข้อความเร่งด่วน
(Urgency Messaging)
กำหนดกรอบเวลาว่ามีจำกัด หรือ
จำนวนจำกัด “เหลืออีกเพียง 3 ชิ้น!” หรือ “อีก 2 ชั่วโมงจะหมดเวลา” พบมากและในทุกเครื่องสำอางค์ทีโฆษณาทางที ไม่ว่าจะเป็น Trylagina LYO ฯลฯ ใช้มุกเดิมๆ
แต่ก็ได้ผลเพราะลูกค้ากลัวตกขบวนนั่นเอง
บางมุกก็ใช้สีแดง ตัวหนา หรือกราฟิกนาฬิกานับถอยหลัง แอปจองโรงแรม ไม่ว่าจะเป็น
Booking.com
/ Agoda ใช้ข้อความว่า
“เหลือห้องสุดท้ายแล้ว!” หรือ “มีคนจองห้องนี้เมื่อ 2 นาทีที่แล้ว” พร้อมทั้งแสดงเวลานับถอยหลังของดีลที่กำลังจะหมดอายุ ทำให้ลูกค้าต้องรีบตัดสินใจและเพิ่มอัตราการจองห้องพัก
✅ 6. การเปิดตัวแบบทีละขั้น
(Product Drop Strategy ปล่อยสินค้าเป็นชุดเล็ก ๆ
ครั้งละน้อย เช่น Adidas ขายรองเท้า Yeezy ของ Kanye West
ค่อยๆปล่อยรองเท้าออกมาทีละรุ่น แบบ
“drop” โดยไม่มีการบอกล่วงหน้าชัดเจนเพื่อสร้างให้เกิดการรอคอย และเฝ้าติดตามถวิลหา ทำให้แฟนคลับรู้สึก "ต้องจับตารอคอย" ต้องคอยอัปเดตข่าวตลอด
และรีบซื้อทันทีเมื่อเปิดตัวางความคาดหวัง เช่น “Drop ต่อไป
1 มิถุนายนนี้!”
แต่ในที่สุดก็ต้องประกาศแยกทางกันในปี 2022 เมื่อ Kanye
West แสดงความเกลียดชังต่อชาวยิวอย่างรุนแรง
จนเป็นปัญหาต่อภาพลักษณ์ของสินค้าและองค์กรในที่สุด
✅ 7. ความน่าภาคภูมิใจเมื่อเป็นเจ้าของ สื่อสารว่าผู้ใช้จะ
“รู้สึกแตกต่าง” หรือ “มีสถานะ” เมื่อได้สินค้า เช่น “เจ้าของกลุ่มแรกในประเทศไทย”
หรือ “หายากจนต้องสะสมให้ครบ”
ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือโทรศัพท์มือถือรุ่นพรีเมียม และทุกครั้งจะมีสเปคหลุด ให้พรีออเดอร์อีกต่างหาก แถมรับเทินร์เครื่องเก่าอีกด้วย ซึ่งตัวท้อปเราใช้ไม่เคยคุ้มราคาอยู่แล้ว เข้าใจว่าฟีจเจอร์มันมากแต่เราใช้แค่ไหนเคยคิดกันบ้างหรือเปล่า ....5555555
การเปิดตัวแต่ละรุ่นมาพร้อมกับความรู้สึก
“ของมันต้องมี” เพื่อความล้ำหน้า/เท่/มีสถานะตัวอย่างโฆษณา:
“นี่คือ iPhone ที่ทรงพลังที่สุดที่เราเคยสร้างมา” เครื่องเก่ายังผ่อนไม่หมดเรยจัดเครื่องใหม่ไปโลด เพราะ FOMO นั่นเอง