เมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมาผมได้พานักศึกษาปริญญาเอการจัดการกีฬา ของม.เกษตรศาสตร์รวมสามรุ่นรวมทั้งคณาจารย์แล้ว 48 คน เดินทางไปร่วมงาน FORUM กับ น.ศ. ปริญญาเอก ของ SHANGHAI UNIVERSITU OF SPORT เป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และนำเสนอผลงาน ซึ่งผมเองก็ได้มีโอกาสนำเสนอเรื่อง SPORT MARKETING ด้วย การนำเสนอผลงานทางวิชาการก็เรียบร้อยดี แต่ทุกท่านที่เคยไปทัวร์จีนก็คงจะทราบว่าจะมีการพาไปซื้อของต่างๆทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นชา บัวหิมะ หยก ฯลฯ ก็เป็นไปตามสเต็ปเพราะว่ามันก็เหมือนทัวร์ศูนย์เหรียญบ้านเรา ที่บริษัททัวร์ท้องถิ่นจะคิดค่าบริการถูกๆแต่จะพาไปซื้อของและหวังกำไรจากตรงค่าคอมมิสชั่นแทนนั่นเอง ได้เรื่องครับเพราะกลุ่มเราเป็นนักศึกษาปริญญาเอก แน่นอนคณาจารย์ก็ปริญญาเอก ผมเองก็เฝ้าดูว่าคนขายจะมาไม้ไหน (ผมรู้มุกของคนขายแล้วเพราะไปจีนหลายครั้งแล้ว) เพื่อที่จะมากระชากเงินจากกระเป๋าของเหล่า ดร. และ ว่าที่ ดร.ทั้งหลาย ซึ่งมีคุณเป็ด เชิญยิ้ม เป็นประธาน น.ศ.รุ่น 2 ไปด้วย ได้เรื่องครับขณะอยู่บนรถไกด์ชื่อ อากุล แต่เราเรียกเธอว่า อากุง(พูดไม่ชัดงะ) หรือตั้งชื่อเต็มเธอว่า “ปฏิกุง” 555+ ก็พรรณนาว่าเงินทองถึงแม้จะเป็นเรื่องสำคัญแต่ความกตัญญูรู้คุณพ่อแม่ก็สำคัญประมาณว่า มีเพื่อนคนหนึ่งแม่อยู่ต่างจังหวัดป่วยกระเซาะกระแซะมานาน แล้วมีผ้าห่มที่ทำจากรังไหมที่ดีสารพัดนึกแต่กว่าจะซื้อไปให้แม่ได้ ..............ผมกระซิบบอกกับนักศึกษาบนรถว่า “เดี่ยวแม่มันต้องตายแน่นอน” ว่าแล้วอีก 5 วินาที แม่เธอก็ตายจริงๆสมกับเป็นลูกอกตัญญู เสร็จแล้วก็มีพวกเราซื้อผ้าห่มรังไหมไป 10 กว่าผืนรวมทั้ง คุณชัย นิมากร ซึ่งเป็นทั้ง น.ศ.ปริญญาเอกรุ่นที่ 3 และยังเป็นอาจารย์พิเศษด้วย ซึ่งเป็นเจ้าของ “แกรนด์สปอร์ต” รวมทั้งตัวผมเองด้วยเพราะเราอยากเป็น “ลูกชวนป๋วยปี่แปะกอ” คืออยากเป็นลูกกตัญญูนั่นเอง 5555+
ช๊อตที่สองไกด์พาเราไปร้านขายชาเมื่อก่อนผมได้ยินแต่ชาเกรด A หรือ AA แต่เที่ยวนี้มาใหม่เป็นชาเกรดธรรมดา กับ “ชาฮ่องแต้” กระป๋องละ 4 ,000 บาท ซึ่งเป็นขอดชาอ่อนสุดๆเก็บตอนตีสามยี่สิบนาที โดยหญิงสาวบริสุทธิ์แห่งยอดเขาเหลียงซาน ฯลฯ รวมทั้งให้หนอนชาเขียวกระดื๊บๆ ผ่านสามรอบก่อนเพื่อความเป็นศิริมงคล แน่นอนของแพงต้องมีการพิสูจน์ ว่าสมราคาแล้วคนขายก็เอาน้ำเปล่ามา 2 แก้ว เทน้ำยาทิงเจอร์ไอโอดีนลงไป (แบบที่ใส่แผลสดนะ) ว่าแล้วก็เอา “น้ำชา” ที่ชงจากชาธรรมดาใส่ลงไป ปรากฏว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่อีกแก้วหนึ่ง “กำใบชาฮ่องเต้” (ไม่ใช่น้ำชาที่ชงจากชาฮ่องเต้) กวนๆสักครู่หนึ่งน้ำที่มีสีของทิงเจอร์ไอโอดีนที่ออกสีน้ำตาลเข้มๆ ก็จางลงและใสในที่สุดยิ่งกว่าเล่นกลอีกครับพี่น้อง ว่าแล้วบรรดาพลพรรคนักศึกษาปริญญาเอกทั้งหลายก็ระดมซื้อกันไปบัตรเครดิตรูดกันกระจาย ไม่ว่าจะเป็นคุณสมทบ ว่าที่ผู้บริหารของสโมสรราชวิถี คุณก้องศักดิ์ เลขานุการ รมต. คุณสมคิด ผอ.ใหญ่จากการกีฬาแห่งประเทศไทย รวมทั้ง คุณต้น ตระการ
ผมมีคำถามให้พิจารณา 3 ข้อ 1.ทิงเจอร์ไอโอดีน มันคือของเสียในร่างการเราหรือเปล่า หรือมันสัมพันธ์ หรือเป็นเครื่องบ่งบอกว่าร่างกายเรามีของเสียเยอะแยะไปหมดหรือเปล่า คำตอบคือ “ไม่เกี่ยวกันเลย” แต่คนขายแสดงเพื่อให้เห็นถึงความต่างและความสามารถอันเลอเลิศ(เพื่อเพิ่มมูลค่า) แต่ไม่มีประโยชน์ต่อการใช้สอยเลย 2.แก้วใบแรก ใช้ “น้ำชา” ซึ่งแปลว่า มันมีความเข้มข้นต่ำใช่หรือไม่ ในขณะที่ แก้วใบทีสองที่เป็นสิ่งมหัศจรรย์ ใช้ “ใบชาฮ่องแต้กำใส่ลงไป” แปลว่าความเข้มข้นสูงใช่หรือไม่ คำตอบคือ “ใช่” 3.ถ้าเป็นชาชนิดอื่นๆที่อาจมีคุณสมบัติทางเคมีใกล้เคียงกันกับ”ชาฮ่องเต้” จะทำให้น้ำในแก้วที่สองกลับมาใสเหมือเดิมได้หรือไม่ คำตอบคือ “ได้” เพราะว่าผมได้ทดลองเมื่อกลับมาถึงเมืองไทยแล้ว เอาบรรดาสรรพชาที่มีในสำนักงาน ชาถุงต่างๆ ก็พบว่า ชาเขียวซองหนึ่งก็ทำให้น้ำใสได้เหมือน “ชาฮ่องเต้” ผมเลยตั้งชื่อชาเขียวนั้นว่า “ชาองค์ชายสี่” 5555+++
มาช๊อตสุดท้ายพาไปร้านขายหยก คนขายคนแรกเป็นหญิงสาวเข้ามาสักครู่ก็บอกว่า วันนี้ลูกเถ้าแก่มาด้วยพูดไทยได้ด้วยเพราะว่ามีแม่เป็นคนไทย (ผมถามว่าเถ้าแก่ชื่อรัย เค้ามะตอบ) พอลูกเถ้าแก่มาผมดูสารรูปแล้วฟันธง และคนเฟิมโดยไม่ต้องอาศัยหมอลักษ์ หมอกฤษ เลยว่า มันมั่วมาแน่นอนว่าแล้วลูกเถ้าแก่ก็ลดราคามแบบสุดๆ ทำให้เราเชื่อโดยสนิทใจว่าไม่โดนหลอกแน่ เพราะขนาดที่ว่าพนักงานหญิงถามลูกเถ้าแก่ว่าขายได้ยังไง ขาดทุนนะ แต่ดันถามเป็นภาษาไทย (ซึ่งมันควรจะถามเป็นภาษาจีน เพื่อไม่ให้เรารู้) แต่วัตถุประสงค์มันต้องการให้เรารู้จึงถามเป็นภาษาไทย ตีบทแตกกระจุยสมควรได้รับตุ๊กตาทอง ว่าแล้วพี่เป็ดเชิญยิ้มก็อัญเชิญ “ปี๋เซีย” ไปหนึ่งคู่ แค่ไม่กีหมื่นเอง 555+ ที่เหลือก็กระจายๆกันไปอุดหนุนเชื้อสายคนไทยปลอมๆ เพราะมันให้เราเป็นญาติมันตั้งแต่บอกว่ามีแม่เป็นคนไทยอยู่เชียงใหม่แล้วนั่นเอง สรุปนิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าอารมณ์มาก่อนเหตุผลเสมอ 5555++ท่านดอกเตอร์และว่าทีดอกเตอร์ทั้งหลาย สาธุ สาธุ คัมภีร์นักขายนี้สมควรเอาเป็นแบบอย่างจิงจิงจิงจิง
ช๊อตที่สองไกด์พาเราไปร้านขายชาเมื่อก่อนผมได้ยินแต่ชาเกรด A หรือ AA แต่เที่ยวนี้มาใหม่เป็นชาเกรดธรรมดา กับ “ชาฮ่องแต้” กระป๋องละ 4 ,000 บาท ซึ่งเป็นขอดชาอ่อนสุดๆเก็บตอนตีสามยี่สิบนาที โดยหญิงสาวบริสุทธิ์แห่งยอดเขาเหลียงซาน ฯลฯ รวมทั้งให้หนอนชาเขียวกระดื๊บๆ ผ่านสามรอบก่อนเพื่อความเป็นศิริมงคล แน่นอนของแพงต้องมีการพิสูจน์ ว่าสมราคาแล้วคนขายก็เอาน้ำเปล่ามา 2 แก้ว เทน้ำยาทิงเจอร์ไอโอดีนลงไป (แบบที่ใส่แผลสดนะ) ว่าแล้วก็เอา “น้ำชา” ที่ชงจากชาธรรมดาใส่ลงไป ปรากฏว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่อีกแก้วหนึ่ง “กำใบชาฮ่องเต้” (ไม่ใช่น้ำชาที่ชงจากชาฮ่องเต้) กวนๆสักครู่หนึ่งน้ำที่มีสีของทิงเจอร์ไอโอดีนที่ออกสีน้ำตาลเข้มๆ ก็จางลงและใสในที่สุดยิ่งกว่าเล่นกลอีกครับพี่น้อง ว่าแล้วบรรดาพลพรรคนักศึกษาปริญญาเอกทั้งหลายก็ระดมซื้อกันไปบัตรเครดิตรูดกันกระจาย ไม่ว่าจะเป็นคุณสมทบ ว่าที่ผู้บริหารของสโมสรราชวิถี คุณก้องศักดิ์ เลขานุการ รมต. คุณสมคิด ผอ.ใหญ่จากการกีฬาแห่งประเทศไทย รวมทั้ง คุณต้น ตระการ
ผมมีคำถามให้พิจารณา 3 ข้อ 1.ทิงเจอร์ไอโอดีน มันคือของเสียในร่างการเราหรือเปล่า หรือมันสัมพันธ์ หรือเป็นเครื่องบ่งบอกว่าร่างกายเรามีของเสียเยอะแยะไปหมดหรือเปล่า คำตอบคือ “ไม่เกี่ยวกันเลย” แต่คนขายแสดงเพื่อให้เห็นถึงความต่างและความสามารถอันเลอเลิศ(เพื่อเพิ่มมูลค่า) แต่ไม่มีประโยชน์ต่อการใช้สอยเลย 2.แก้วใบแรก ใช้ “น้ำชา” ซึ่งแปลว่า มันมีความเข้มข้นต่ำใช่หรือไม่ ในขณะที่ แก้วใบทีสองที่เป็นสิ่งมหัศจรรย์ ใช้ “ใบชาฮ่องแต้กำใส่ลงไป” แปลว่าความเข้มข้นสูงใช่หรือไม่ คำตอบคือ “ใช่” 3.ถ้าเป็นชาชนิดอื่นๆที่อาจมีคุณสมบัติทางเคมีใกล้เคียงกันกับ”ชาฮ่องเต้” จะทำให้น้ำในแก้วที่สองกลับมาใสเหมือเดิมได้หรือไม่ คำตอบคือ “ได้” เพราะว่าผมได้ทดลองเมื่อกลับมาถึงเมืองไทยแล้ว เอาบรรดาสรรพชาที่มีในสำนักงาน ชาถุงต่างๆ ก็พบว่า ชาเขียวซองหนึ่งก็ทำให้น้ำใสได้เหมือน “ชาฮ่องเต้” ผมเลยตั้งชื่อชาเขียวนั้นว่า “ชาองค์ชายสี่” 5555+++
มาช๊อตสุดท้ายพาไปร้านขายหยก คนขายคนแรกเป็นหญิงสาวเข้ามาสักครู่ก็บอกว่า วันนี้ลูกเถ้าแก่มาด้วยพูดไทยได้ด้วยเพราะว่ามีแม่เป็นคนไทย (ผมถามว่าเถ้าแก่ชื่อรัย เค้ามะตอบ) พอลูกเถ้าแก่มาผมดูสารรูปแล้วฟันธง และคนเฟิมโดยไม่ต้องอาศัยหมอลักษ์ หมอกฤษ เลยว่า มันมั่วมาแน่นอนว่าแล้วลูกเถ้าแก่ก็ลดราคามแบบสุดๆ ทำให้เราเชื่อโดยสนิทใจว่าไม่โดนหลอกแน่ เพราะขนาดที่ว่าพนักงานหญิงถามลูกเถ้าแก่ว่าขายได้ยังไง ขาดทุนนะ แต่ดันถามเป็นภาษาไทย (ซึ่งมันควรจะถามเป็นภาษาจีน เพื่อไม่ให้เรารู้) แต่วัตถุประสงค์มันต้องการให้เรารู้จึงถามเป็นภาษาไทย ตีบทแตกกระจุยสมควรได้รับตุ๊กตาทอง ว่าแล้วพี่เป็ดเชิญยิ้มก็อัญเชิญ “ปี๋เซีย” ไปหนึ่งคู่ แค่ไม่กีหมื่นเอง 555+ ที่เหลือก็กระจายๆกันไปอุดหนุนเชื้อสายคนไทยปลอมๆ เพราะมันให้เราเป็นญาติมันตั้งแต่บอกว่ามีแม่เป็นคนไทยอยู่เชียงใหม่แล้วนั่นเอง สรุปนิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าอารมณ์มาก่อนเหตุผลเสมอ 5555++ท่านดอกเตอร์และว่าทีดอกเตอร์ทั้งหลาย สาธุ สาธุ คัมภีร์นักขายนี้สมควรเอาเป็นแบบอย่างจิงจิงจิงจิง