วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2552

“อย่าเพียงแค่หลักการ”

รายงานยอดการส่งออกเดือนมกราคม 2552 และGDP ไตรมาสที่สามก็เป็นไปตามที่ทุกฝ่ายคาดการณ์นั่นก็คือติดลบอันเป็นผลต่อเนื่องมาจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ถดถอยลง แต่สิ่งที่ไม่เป็นไปตามคาดก็คือมันแย่กว่าที่คิดประมานไว้ ทำให้นายกและครม.ต้องกุมขมับกันอยู่จากเดิมที่เชื่อว่าไตรมาสสามจะฟื้นตัวและไตรมาสที่สีจะกลับมาเป็นบวกได้ ตอนนี้ชักจะเชื่อแล้วว่าGDPปี 52 นี้คงไม่เป็นบวกแต่ว่าจะลบเท่าไหร่ให้น้อยที่สุด ซึ่งก็เป็นโจทย์ที่รัฐบาลและผู้เกี่ยวข้องจะต้องไปหาวิธีการแก้ไขที่นับวันโจทย์ข้อนี้(ซึ่งเป็นโจทย์ของทุกประเทศ) จะแก้ไขได้ยากขึ้นทุกทีเพราะว่าครั้งนี้แม้บ้านเราไม่ได้ไฟไหม้เหมือนเมื่อปี 2540 ซึ่งตอนนั้นเราแย่มากๆเลยทุกท่านคงยังจำได้ดี แต่เราก็ต้องกู้หนี้ยืมสินมาสร้างบ้าน สร้างโรงงาน ซื้อเครื่องจักรและค่อยผลิตสินค้าขายมาใช้หนี้และปลดหนี้ได้ในที่สุด เพราะว่าครั้งนั้นเพื่อนบ้านทั้งหลายโดยเฉพาะอเมริกา ยุโรป จีน ยังอู้ฟู้อยู่ก็มีเงินมาซื้อสินค้าของเรา แต่นี้พี่เบิ้มทั้งหลายมีปัญหาไปหมดและไม่มีปัญญามาซื้อของเราเหมือนเดิมก็จะทำให้เศรษฐกิจเราดิ่งเหวตามโลกใบนี้ไปด้วย เพราะเราพึ่งพาการส่งออกและท่องเที่ยวเป็นขาหลักของเศรษฐกิจสองขานี้เดี้ยงก็ทำให้เราทรุดไปด้วย ลองดูประเทศเพื่อนบ้านเราที่กระทบน้อยๆเช่นพม่าและลาวไม่ค่อยเดือดร้อนเท่าไหร่เพราะพึ่งเศรษฐกิจในประเทศเป็นหลัก (แต่ก็ไม่ก้าวหน้าเพราะขาดการลงทุนจากต่างประเทศและส่งออก) ซึ่งมิได้ให้เราเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ต้องบูรณาการให้มีน้ำหนักที่เหมาะสมในทุกๆด้านเพราะการเจริญเติบโตทางเศรษฐ,กิจมีขาหรือเครื่องจักรอยู่สี่ตัวหลัก คือ 1. การบริโภคภายในประเทศซึ่งรวมถึงการท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวมาจับจ่ายใช้สอในประเทศของเรา 2.การลงทุนภาครัฐ ทั้งสาธารณูประโภค และรายจ่ายของรัฐทั้งหลาย 3.การลงทุนภาคเอกชนทั้งของคนไทยเองและการลงทุนจากต่างประเทศ 4.การนำเข้าลบด้วยการส่งออก เพราะเครื่องยนต์ทั้งสี่นี้มีความสัมพันธ์และเกื้อกูลกันจึงต้องประสานและสร้างสมดุลย์กันให้เหมาะสมหากเครื่องใดมีปัญหาก็ยังใช้เครื่องที่เหลือขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไปได้
เราเห็นรัฐบาลออกมาตรการต่างๆมามากมายตลอดจนมีหลักการต่างๆที่ประชาชนคนไทยไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ว่ามันจะช่วยอะไรได้ เพราะว่ารัฐเองขาดการทำความเข้าใจกับประชาชนว่าสิ่งที่ได้ทำลงไปหรือจะทำแล้วจะได้อะไร ตัวอย่างเช่นเงินสองพันบาทที่แจกให้กับผู้มีรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาท มันจะไปช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้อย่างไร ต้องออกมาอธิบายว่าเงินจำนวนนี้ก็จะนำไปจับจ่ายใช้สอย ซื้อเสื้อผ้า อาหาร ฯลฯ โรงงานก็จะผลิตสินค้า ต้องไปซื้อวัตถุดิบ ต้องใช้แรงงาน ต้องใช้พลังงาน ฯลฯ โรงงานก็จะไม่ต้องปลดพนักงาน สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ก็จะทำให้รัฐเก็บรายได้จากภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีนิติบุคคลจากบริษัทได้ ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจมั่นคงได้ ถ้าจำได้โฆษณาธนาคารกรุงไทยในยุคไอเอมเอฟที่ซื้อปลากระป๋องแล้วทำให้วงจรธุรกิจสามารถดำเนินไปได้ แต่ยุคนี้เอาประชาชนนั่งเรื่อและมีตะเกียงดูแล้วไม่เข้าใจจริงๆมันเป็นแอบสแตรคดูแล้วต้องคิดแถมคิดไม่ออกอีกชาวบ้านจะเข้าใจได้อย่างไร แล้วมีนักศึกษาหลายคนถามผมว่าถ้าผมเป็นนายกจะทำอย่างไรบ้าง (ก็เคลิ้มดีนะให้เราฝันเป็นนายก แต่เราก็เป็นอยู่แล้วนายกสมาคมผู้ปกครองและครูโรงเรียนสามเสนวิทยาลัยงัย) ก็เลยอยากจะนำเรื่องที่ตอบนักศึกษาไปในวันนั้นมาเล่าสู่กันฟังว่าถ้าผมเป็นนายกผมจะไม่เป็นเจ้าหลักการ ตอบแต่เรื่องของหลักการ ตอบสิ่งที่เป็นนามธรรม ต้องตอบและทำแบบว่าจะทำอะไร แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าทำอย่างนั้น และหากไม่ทำจะมีผลเสียอย่างไร ก็จะขอลองเล่าให้ดูซักสองสามเรื่องดังนี้นะครับ
เรื่องแรกที่ผมจะทำคือเงิน ประมาณ 20,000 ล้านบาทที่ให้ผู้ประกันตนคนละสองพันบาทนี้ ผมจะนำมาจ้างคนที่ถูกเลิกจ้างานซึ่งคำนวณง่ายว่าถ้าจ้างคนละสองร้อยบาทต่อวัน เดือนละ 6,000 บาท เป็นเวลาหนึ่งปี จะสามารถจ้างงานได้ถึง 277,777 คน ซึ่งคนเหล่านี้จะไม่ไปเป็นปัญหาของสังคมที่ต้องเป็นโจรเป็นขโมย หรือขายยาบ้า และต้องนำไปซื้อของที่จำเป็นแก่การดำรงชีพ (เพราะไม่มีปัญญาไปฟุ่มเฟือย) ต้องไปซื้อปลากระป๋อง เสื้อผ้า จะตอบโจทย์ได้ดีกว่าแจกคนในระบบประกันสังคมซึ่งส่วนหนึ่งคงเก็บเงินไว้และใช้จ่ายเท่าที่จำเป็นเพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะตกงาน แล้วให้คนสองแสนเจ็ดนั้นไปสร้างผลผลิตอะไรก็ได้เช่น ช่วยเจ้าหน้าที่จราจร ช่วยเป็นสายตรวจ เจ้าหน้าทำความสะอาด ช่วยครูธุรการในโรงเรียน(แล้วให้ครูไปอบรม สอน ลูกศิษย์ให้มากขึ้น) ทาสีป้ายขาวแดงจราจร หรือในต่างจังหวัดก็ให้ขุดลอกคูคลองหนองบึง ฯลฯ (ให้เอาคนตกงานที่โรงงานอยู่ในกทม.และปริมณฑล กลับบ้านเกิดสร้างงานในบ้านเกิดแถมลดความแออัดในเมือง ได้อยู่ใกล้ชิดครอบครัวพ่อแม่อีกต่างหาก ) ก็จะสร้างเศรษฐกิจพร้อมกับแก้ปัญหาสังคมไปในตัว
เรื่องที่สองเงินที่จะให้กับกำนันผู้ใหญ่บ้าน สารวัตกำนัน แพทย์ประจำตำบล ที่เพิ่มอีกเดือนละ 5,000 บาท (ซึ่งเป็นการเพิ่มตลอดไป) ซึ่งมีอยู่สองแสนคนก็ตกเดือนละ 1 พันล้านบาท เอามาจ้างคนตกงาน คนที่ไม่มีงานทำซึ่งถ้าจ้าง 6,000 บาท (คิดตามอัตราแรงงานเฉลี่ย 200 บาทต่อวัน) จะจ้างได้ถึง 166,666 คน รวมเงินสองก้อนนี้แล้วจ้างคนได้ถึง 444,443 คน ก็ใกล้เคียงกับจำนวนการคาดการณ์ผู้ตกงานในปัจจุบันที่มีประมาณ 5 แสนคน แล้วคนเกือบห้าแสนคนนี้ก็นำเงินไปจับจ่ายใช้สอยธุรกิจก็หมุนเวียนแบบโฆษณากรุงไทยงัยแถมแก้ปัญหาสังคมได้อีกโสตหนึ่งด้วย ทำให้โรงงานธุรกิจไม่ต้องปลดคนที่คาดว่าถึงปลายปีจะมีถึง 1 ล้านคน
เรื่องที่สามการท่องเที่ยวมันแย่อยู่แล้วเพราะว่านักท่องเที่ยวขาดกำลังซื้อแถมพันธมิตรดันไปปิดสนามบินเราเห็นเป็นเรื่องสนุกหรือไม่ร้ายแรงแต่นักท่องเที่ยวเค้าไม่คิดอย่างนั้นหรอกครับ ไปดูได้เลยว่าอัตราการเข้าพักของโรงแรมเป็นอย่างไรใครได้ถึง 50 % ก็สุดยอดแล้วครับ ผมเพิ่งไปพักที่โอเรียลเต็ลดาราเทวีเชียงใหม่ ซึ่งเมื่อก่อนไม่ยินดีต้อนรับคนไทยเท่าไหร่เต็มตลอดแถมราคาก็สูงเสียดฟ้าตอนนี้อัตราเข้าพักแค่ 30 % เลยต้องหันมากราบกรานคนไทยให้ไปเที่ยวห้องดีลักซ์สวีทรวมภาษีและค่าบริการแล้วหมื่นบาทมีทอน เลยขอไปนอนห้องสวีทกับเค้าซักครั้งนึงตายไปจะได้คุยกับยมพบาลได้ ซึ่งนักท่องเที่ยวจะทำให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยในประเทศรัฐไปงดเก็บวีซ่านักท่องเที่ยว อันนี้มันเป็นแค่น้ำจิ้มแค่หยดเดียว (แถมงดเก็บแค่สามเดือนเท่านั้น) ผมถามง่ายๆว่าถ้าเรามีปัญญาซื้อตั๋วเครื่องบินไปเที่ยวเมืองนอกนั้นค่าวีซ่าซัก 1,000 บาทเป็นปัญหาหรือทำให้เราตัดสินใจงดการเดินทางหรือไม่ ทำไมเราไม่คิดการณ์ใหญ่และเกิดมรรคผลอย่างเช่น คน 300,000 คนที่ติดอยู่สุวรรรภูมิตอนพัธมิตรปิดสนามบินเราส่งตั๋วเครื่องบินไปให้ฟรีฟรี แถมห้องพักฟรีอีกหนึ่งคืน เพราะอะไรหรือครับเพื่อเป็นการขอโทษที่ทำให้คุณเดือดร้อน อ้าวแล้วการบินไทยไม่เจ๊งเหรอไม่เจ๊งหรอกครับเพราะเราสามารถกำหนดได้ว่าแต่ละเที่ยวบินจะให้กี่ที่นั่งเช่นซัก 20 ที่นั่งเพราะทุกวันนี้ทุกไฟลท์ที่นั่งว่างไม่ต่ำกว่า 20 -30 % ถึงยังไงไฟลท์นั้นก็ต้องบินอยู่แล้วจริงมั๊ยไม่ว่าจะมีตั๋วฟรีนี้มาขึ้นหรือไม่ แล้วโรงแรมไม่เจ๊งเหรอไม่หรอกครับเพราะมีแต่ค่าไฟฟ้าและค่าน้ำที่เพิ่มขึ้นค่าใช้จ่ายอื่นๆเท่าเดิมจริงหรือเปล่าแล้วคนบินมาตั้งหลายชั่วโมงเค้าพักแค่คืนเดียวเหรอก็คงต้องต่ออีกซักคืนสองคืน แล้วต้องกิน ต้องเดินทาง ต้องซื้อของมั๊ย ผมลองไปดูตัวเลขค่าใช้จ่ายเฉลี่ยของนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวประเทศไทย ใช้เฉลี่ย 4,127 บาท/คนต่อวัน อัตราการเข้าพัก 9 คืน ลองคำนวณดูนะครับว่าถ้าคน 300,000 คน(ซึ่งไม่น่าจะเดินทางคนเดียวหากเราให้ตั๋วฟรีเค้าอาจชวนเพื่อนหรือแฟนมาด้วยก็เหมือนกับลดค่าตั๋ว 50% นั่นแหละ) คิดแค่สามเสนคน พักไม่ต้องเก้าคืนหรอกขอแค่ 4 คืนและใช้คนละ 3,000 บาท/วัน จะเกิดมูลค่ารวม 3,600 ล้านบาทถ้าครึ่งหนึ่งในนั้นชวนเพื่อนหรือแฟนมาด้วยก็จะมีรายได้เข้าประเทศ 5,400 ล้านบาท แล้วถ้าพัก 9 คืน และใช้ 4,100บาทต่อวันละ ก็จะมีรายได้เข้าประเทศ 11,124 และ 16,686 ล้านบาทตามลำดับ แถมทำให้คนไทยไม่ตกงานทั้งภาคบริการ และอุตสาหกรรมต่างๆเพราะว่าคนสามหรือสี่แสนห้าคนนี้จะจับจ่ายใช้สอยในประเทศไทยเราทำให้เกิดการหมุนเวียนเหมือนโฆษณากรุงไทยอีกแล้ว สงสัยต้องไปเก็บค่าประชาสัมพันธ์ที่ธนาคารกรุงไทยซะแล้ว ดังนั้นอย่าเพียงแต่เจ้าหลักการขอวิธีการที่ทำได้หน่อยเถอะและอย่าคิดแค่การใช้เงินจะหาเงินอย่างไรโดยกู้เงินน้อยที่สุดที่สำคัญคนไทยที่มีเงินยังมีอีกเป็นจำนวนมากทำอย่างไรให้คนเหล่านั้นใช้เงิน ที่สำคัญมีอารมณ์ที่จะใช้เงินนั้นนั่นเอง......................

“CHANGE MANAGEMENT”

ในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันใครๆก็บอกว่าต้องปรับตัว ต้องเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส ซึ่งเราได้ยินกันมาจนหูชาแล้วแต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นตรงไหนซึ่งแท้จริงแล้วมนุษย์เราเองนั้นปรับตัวเพื่อความอยู่รอดมาตั้งแต่โบราณกาลแล้ว เพียงแต่ว่าเราไม่ได้รู้สึกและเอามาเรียบเรียงเป็นขั้นตอนเท่านั้นเอง ไม่อย่างนั้นเราคงสูญพันธ์ไปเหมือนไดโนเสาร์แล้วที่มนุษย์ยังคงดำรงอยู่เป็นชาติพันธุ์ได้เพราะเรามีการปรับตัวเองมาโดยตลอด เช่นเราต้องปรับตัวให้เข้ากับเพื่อนร่วมงานที่มีนิสัยแตกต่างกันมาจากสิ่งแวดล้อมครอบครัวและวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน เราต้องใช้จ่ายให้พอเพียงกับรายได้ที่หามาได้ เมื่ออากาศหนาวเราก็ต้องหาเครื่องนุ่งห่มที่บรรเทาความหนาวเย็นได้ ฯลฯ สิ่งต่างๆเหล่านี้เป็นการปรับตัวทางสังคมศาสตร์ แต่จากภาวะทางเศรษฐกิจที่ถดถอย(RECESSION) ในปัจจุบันที่เกิดขึ้นทั่วโลกเราซึ่งในที่นี้หมายถึงทั้งตัวบุคคลและองค์การทางธุรกิจทั้งหลายจะต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอดกันได้อย่างไร แน่นอนว่าทุกคงคาพยพต้องปรับตัวเองเพื่อความอยู่รอดอันเป็นธรรมชาติและสัญชาติญาณของมนุษย์ซึ่งเป็นผู้บริหารจัดการองค์กรอยู่แล้ว แต่จะเกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการปรับตัวนั้นหรือไม่ก็คงขึ้นอยู่กับประสบการณ์ วิสัยทัศน์ และที่สำคัญอีกสองอย่างคือทัศนคติและความร่วมมือของบุคคลากรในองค์กรนั้นเป็นสำคัญ ผมเลยลองเอาตัวอักษร CHANGE ซึ่งเป็นคำที่ทางบารัคโอบามาใช้ในการรณรงค์หาเสียงมาลองเทียบเคียงเป็นอักษรตัวแรกของคำที่เป็นหลักในการปรับเปลี่ยนในครั้งนี้โดยเราจะเริ่มจาก
C = Challenge ซึ่งคือความท้าทาย เราจะต้องนำวิกฤติอันนี้ไปสื่อสารกับบุคลากรในองค์กรว่ามันเป็นความท้าทาย ว่าเราจะแปรวิกฤติเป็นโอกาสได้หรือไม่ เพรามนุษย์นั้นชอบความท้าทายและอยากเอาชนะเราจะต้องปลุกเร้าทุกคนให้หันมาสู้ มาปรับเปลี่ยนตัวเอง องค์กร เพื่อที่เราจะได้ผ่านพ้นวิกฤติไปร่วมกัน อย่าเอาแต่พร่ำบ่นและท้อแท้ยิ่งเจ้านายท้อแท้เท่าไหร่ลูกน้องก็ยิ่งท้อแท้ไปอีกหลายเท่าแล้วองค์กรจะฝ่าวิกฤติไปได้อย่างไร เหมือทหารที่จะไปออกรบแม่ทัพมัวแต่บนว่าออกไปคงไม่ได้กลับมาแน่แล้วจะมีกำลังใจรบได้อย่างไร มันต้องปลุกเร้าและสร้างกำลังใจให้หึกเหิมเพื่อจะประสบชัยชนะคือการผ่านพ้นช่วงแห่งความเลวร้ายในครั้งนี้ไป”ด้วยกัน”
H =Habbit คืออุปนิสัยซึ่งถ้าเป็นอุปนิสัยถาวรเค้าเรียกว่า สัน.....นั่นเอง เราลองมาทบทวนอุปนิสัยที่ดีและไม่ดีกัน หรืออุปนิสัยที่ควรทำหรือไม่ควรทำในภาวะวิกฤตินี้ ได้ดูรายการโอปรา วินฟรี ทางเคเบิลทีวีเค้านำครอบครัวหนึ่งที่มีอุปนิสัยในการใช้จ่ายอย่างคุ้มค่า (ไม่ใช่ขี้เหนียวนะ) ไปอยู่กับครอบครัวหนึ่งเพื่อแนะนำการดำรงชีวิตที่คุ้มค่าทุกวันหลังจากกลับมาบ้านทุกคนในครอบครัวจะต้องมาจดแจ้งรายการค่าใช้จ่ายที่คุ้มค่า และที่ฟุ่มเฟือย(หรือไม่จำเป็นเท่าที่ควร) พอครบเดือนก็ลองรวบรวมตัวเลขดูปรากฏว่ารายการที่ไม่คุ้มค่า ฟุ่มเฟือย หรือยังไม่จำเป็นเท่าที่ควรนั้นคิดเป็นมูลค่าประมาณเกือบ 40 เปอร์เซ็นต์ทีเดียว เป็นเทคนิคง่ายๆที่อนุญาตให้เลียนแบบได้ ในองค์กรละเราลองมาดูกันว่าเราจะเปลี่ยนอุปนิสัยเพื่อทำให้องค์กรเพิ่มประสิทธิภาพได้หรือไม่ ลองดูที่พนักงานขายจากเดิมที่ไม่ได้วางแผนการเข้าพบลูกค้าเดินทางสะเปะสะปะนึกอยากนัดใครก็นัด หรืออยากไปเยี่ยมลูกค้ารายได้ก็ไปโดยไม่ได้วางแผนไว้แต่ถ้าหากว่าเราลองมาดูซิว่าในละแวกเดียวกันนั้นมีลูกค้าอยู่ใกล้กันวางแผนไปเยี่ยมครั้งหนึ่งให้ได้จำนวนลูกค้ามากขึ้นได้หรือไม่ หรือบางบริษัทมีข้อบังคับว่าพนักงานขายต้องเข้ามาที่บริษัททุกเช้า แต่ถ้าจากบ้านพนักงานไปเยี่ยมลูกค้าได้เลยซึ่งใกล้กว่าและประหยัดทั้งค่าน้ำมันและเวลาจะมิดีกว่าจะยึดถือระเบียบเป็นที่ตั้ง แถมตอนเย็นยังให้พนักงานกลับมาทำรายงานที่บริษัทอีกท่านอาจจะแย้งว่ากลัวพนักงานอู้งาน หรือกลับบ้านก่อนเวลา ก็อาจจะเป็นได้ถ้าพนักงานขาดความรับผิดชอบแต่ถ้าเราเอาผลสัมฤทธิ์เป็นที่ตั้งแล้วมาวัดผลจะดีกว่าหรือไม่ ที่สำคัญท่านสอนลูกน้องด้วยใจและความรับผิดชอบ หรือว่าด้วยอำนาจและกฎเหล็กเอาไว้ขังมิให้พนักงานคิดเป็นแค่ทำตามกฎแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้นก็เป็นอุปนิสัยที่คงต้องให้ทบทวน
A=Attitude คือทัศนคติ เราจะต้องแปรเปลี่ยนทัศคติในเชิงลบให้เป็นทัศนคติในทางบวก ให้คิดว่าวิกฤติครั้งนี้ถึงแม้จะแสนสาหัสแต่ว่าเราจะต้องอยู่รอดให้ได้ และถ้าให้ดีต้องรอดอย่างบาดเจ็บน้อยที่สุด อย่าหดหู่จนไม่ทำอะไรเลย หรือหากเป็นบุคคลที่ตกงานประกอบกับหนี้สินมากมายทำให้คิดสั้นก็ต้องเสริมสร้างทัศนคติในทางบวกว่าเราต้องอยู่รอดปลอดภัยแม้จะบาดเจ็บสาหัสก็ตาม ไม่ยอมตายอย่างง่ายๆ มีมหาเศรษฐีชาวเยรมันคนหนึ่งร่ำรวยเป็นอันดับห้าของเยรมันพยายามฆ่าตัวตายไม่ใช่สาเหตุจากธุรกิจล้มละลายนะ เพียงแค่กิจการบางกิจการซึ่งคิดเป็นมูลค่าทรัพย์สินของเค้าแค่ 10 กว่าเปอร์เซ็นต์เท่านั้นเองอีก 80 กว่าเปอร์เซนต์ยังดำเนินธุรกิจไปได้ด้วยดี ซึ่งไม่รู้สุดท้ายจะตายหรือเปล่า แสดงว่ามีทัศนคติในเชิงลบอย่างรุนแรงและไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงนั้น (ซึ่งในทางพุทธแล้วถือเป็นอนิจจังนั่นเอง)
N=Network คือการมีเพื่อน มีสายสัมพันธ์ที่ดีกับคนอื่น กับองค์กรอื่นๆเพื่อช่วยเหลือกันหรืออาจจะให้ข้อมูลข่าวสารที่จะเป็นประโยชน์ต่อการปรับตัวในครั้งนี้ ลองดูนะครับหากบริษัทที่นำเข้าสินค้าซึ่งปัจจุบันนี้เกือบทุกบริษัทมีสินค้าค้างสต๊อกอยู่มากแถมราคายังตกลงทุกวัน ลองมองดูเพื่อนหรือพันธมิตรซิครับแลกเปลี่ยนสินค้ากันได้หรือไม่ทั้งๆที่เดิมเคยเป็นคู่ต่อสู้กัน ก็จะช่วยให้แต่ละคนลดปริมาณสต๊อกสินค้าลงซึ่งอาจจะขาดทุนไปบ้างโดยขายในราคานำเข้าตามตลาด(ไม่ใช่ราคาทุน) แต่สินค้าได้ระบายออกเพื่อที่เราจะได้ซื้อสินค้าใหม่เข้ามาหมุนเวียนได้ เรียกว่ายอมขาดทุนกันละโดยเราก็ได้สินค้าในราคาตลาดจากคู่แข่งขันมาซึ่งไม่ได้ต้องนำเข้าที่ละมากๆ สั่งแค่พอใช้เดือนหรือสองเดือนก็พอเป็นต้น
G=Goal การจะทำอะไรให้สำเร็จนั้นเราต้องมีเป้าหมายและเป้าหมายที่ดีที่สุดก็คือเป้าหมายที่เราร่วมกันตั้งขึ้น ไม่ใช่ว่าเป็นเป้าหมายที่ฝ่ายบริหารสั่งการ หากเราให้พนักงานได้มีส่วนร่วมในการวางเป้าหมายในครั้งนี้ร่วมกันก็จะช่วยให้การดำเนินการนั้นเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นเพราะพนักงานมีส่วนร่วมนั้นเอง โดยฝ่ายบริหารอาจจะให้กรอบนโยบายและให้พนักงานมีส่วนร่วมในการกำหนดเป้าหมาย และแนวทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม ซึ่งก็จะได้รับความร่วมมือในการปฏิบัติตามมากกว่าเพราะเป็นแนวทางที่พนักงานมีส่วนร่วมนั่นเอง และตัวสุดท้าย
E=Enhancement คือการยกระดับ หรือการทำให้ดีเพิ่มเติมขึ้น เหมือนกับที่ในโฆษณาจำไม่แล้วว่าโฆษณาอะไรที่บอกว่า “อีกนิดนะ...” ซึ่งหมายถึงว่าแม้ว่าบางสิ่งบางอย่างเราจะได้ทำหรือได้ปฏิบัติอยู่แล้ว เราสามารถทำได้เพิ่มหรือเติมหรือดีกว่าอีกนิดนึงได้เสมอ เพราะตราบใดที่เราคิดว่าเราดีแล้วเราเยี่ยมแล้ว เราเก่งแล้ว เราจะไม่มีโอกาสพัฒนาเพิ่มเติมอีก อย่าบอกกับตัวเองและลูกน้องว่า “เอาไว้ก่อน” ให้บอกว่า “เราทำได้ดีกว่าที่เป็นอยู่ “ “ลุยเลยพวกสู้โว้ย....................”

“พฤติกรรมอย่างไรในปีวัว(ไฟ)”

เราเริ่มปีใหม่ 2552 ด้วยพระเพลิงที่ซานติก้าผับคนเสียชีวิตไปหลายสิบคนซึ่งตรงกับวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ในคืนวันที่ 31 ธันวาคม 2551 แล้วต่อด้วยคืนวันที่ 31 มกราคม 2552 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของเทศกาลตรุษจีนในประเทศจีนที่มีเพลิงใหม่ในผับที่ประเทศจีนคนเสียชีวิตไปอีกสามสิบกว่าคน ด้วยสาเหตุที่เหมือนกันคือการจุดพลุแล้วไฟไปติดที่ฝ้าเพดาน แต่สิ่งที่ต่างกันคืนจีนสั่งปิดผับและสถานบันเทิงทั้งหมดเพื่อตรวจสอบความปลอดภัย ส่วนไทยเราซานติก้าผับถูกฟ้องร้องมาหลายปีแต่ไม่มีผลจนอีกไม่กี่ชั่วโมงจะเลิกกิจการก็เกิดโศกานาฎกรรมขึ้น นี่ถ้าหากไม่มีเพลิงใหม่คดีที่ฟ้องร้องก่อนหน้าก็คงจบลงและไม่ต้องไปปิดผับ(ยกเว้นผู้เช่าใหม่จะเปิดกิจการในแบบเดียวกันอีก) ซึ่งดูเหมือนว่าเราจะเริ่มต้นปีวัวซึ่งบางคนก็บอกว่าเป็นวัวบ้า หรือวัวไฟด้วยการสูญเสีย ดังนั้นในปีวัวนี้คงต้องดำรงตนด้วยความไม่ประมาท(ซึ่งทุกปีก็ควรจะต้องดำรงตนด้วยความไม่ประมาทอยู่แล้ว) แต่ปีนี้อาจจะต้องพิเศษหน่อยตรงที่ว่าการถดถอยทางเศรษฐกิจ (ไม่ใช่หดตัว) ที่เกิดขึ้นทั่วโลกจะมีผลต่อการดำรงชีพ การดำเนินธุรกิจ วิถีชีวิตของผู้คนทั้งโลกอย่างทัดเทียมกัน ต่างจากปี 2540 ที่เกิดขึ้นเฉพาะในเอเชียซึ่งคงง่ายต่อการเยียวยามากกว่าปีวัวไฟนี้อย่างแน่นอน
สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปจะมีผลต่อพฤติกรรมของผู้คนไม่ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อมทาง เศรษฐกิจเช่นการถดถอยทางเศรษฐกิจทีเป็นอยู่ในปัจจุบัน สังคมเช่นการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างครอบครัวที่เป็นครอบครัวเล็กมีบุตรน้อยก็จะทำให้ทุ่มเทกับการเสริมศักยภาพของบุตรอย่างเต็มที่ อัดให้ลูกเรียนสารพัดทั้งบัลเล่ต์ ว่ายน้ำ ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน คณิตคิดเลขไว เปียโน โอ้ย...เคยถามเด็กๆหรือเปล่าว่าเค้าอยากเรียนกันหรือไม่ ทำให้ช๊อปปิ้งมอลใหม่ๆต้องมีสถาบันพวกนี้ไว้รองรับ วัฒนธรรมเช่นการเปลี่ยนจากการนุ่งผ้าถุงมาใส่กางเกง ยีน หรือการรับวัฒนธรรมต่างชาติไม่ว่าจะเป็น K-TREND เกาหลี การแต่งกายเลียนแบบดารานักร้องที่เป็นที่นิยม เครื่องสำอางค์ซึ่งท่านคงได้ยินมาแล้วว่าไปเกาหลีต้องไปหอบเครื่องสำอางเกาหลีที่ซื้อได้จนถึงตีสองตีสามเพราะร้านเปิดน่าจะสว่างเพื่องรองรับความบ้าคลั่ง สาวกของเครื่องสำอางเกาหลีตอนผมไปเกาหลีเมื่อปีที่แล้วมีใบสั่งซื้อจากเพื่อลูกรวมกันแล้วเกือบสองร้อยชิ้น ถัดไปก็คงเป็นการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี เห็นได้ชัดก็พวกโทรศัพท์มือถือ กับคอมพิวเตอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน การเปิดตัว iPOD 3G ของทรูเมื่อเร็วๆนี้คงเป็นคำตอบได้เพราะต้องไปเข้าคิวยิ่งกว่าปอเต็กตึ้งแจกข้าวสารอีกทั้งๆที่ราคาเกือบสามหมืนแถมซื้อมาแล้วฟังชั่นต่างๆใช้คุ้มหรือไม่ฉันไม่สน แค่ขอให้ตามกระแสให้ทันเท่านั้นเป็นพอ นี่และที่สภาพแวดล้อมภายนอกที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคในมิติต่างๆ แต่ในทุกบริบทของการเปลี่ยนแปลงนั้นจะมากระทบกับธุรกิจหรือกิจการของท่านมากบ้างน้อยบ้างก็ขึ้นอยู่กับธรรมชาติของสินค้าของท่านเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ
แต่ถ้ามาดูว่าในปีวัวไฟนี้การถดถอยเศรษฐกิจทั่วโลกต้องกระทบกับธุรกิจหรือกิจการของท่านแน่ หรือแม้แต่ท่านไม่ได้เป็นเจ้าของธุรกิจก็ต้องกระทบโดยทางอ้อมไม่ว่าจะเป็นการตกงาน การไม่ขึ้นเงินเดือน การงดโบนัส หรือสวัสดิการต่างๆ ผมลองรวบรวมว่าพฤติกรรมผู้บริโภคจะเป็นอย่างไรสรุปรวมความได้ดังนี้ อันดับแรกแน่นอนต้องเป็น การใช้จ่ายน้อยลง เป็นธรรมดาเมื่อเงินในประเป๋าน้อยลงหรือเกรงว่าจะน้อยลงก็ต้องประหยัดไว้ก่อน ดังนั้นธุรกิจก็ต้องหาอะไรที่มาตอบสนองความต้องการตรงนี้ เช่น การนำเสนอสินค้าที่มีราคาเหมาะสม หรือจัดโปรโมชั่นแบบสุดๆผมเห็นที่ห้างเกือบทุกห้างตอนนี้ที่มีสินค้าลดราคา 50% ซึ่งก็ปกติแต่ที่ไม่ปกติก็คือซื้อสองชิ้นแถมอีกหนึ่งชิ้น กระตุ้นให้ซื้อเพิ่มอีกด้วยเพื่อเป็นการระบายสต๊อกที่คงค้างอยู่มากอันเป็นผลมาจากกการวางแผนผลิตก่อนหน้าที่จะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ หรือแม้แต่การออกสินค้าที่มีขนาดเล็กลงเพื่อให้ขายได้ในราคาที่ถูกลงกว่าปกติมิฉะนั้นลูกค้าอาจจะไปซื้อสินค้ายี่ห้ออื่นที่ราคาต่อชิ้นถูกกว่า ต้องการอะไรที่ได้ง่ายๆไม่ซับซ้อน การส่งเสริมการขายอย่าทำที่มันซับซ้อนทำให้งงแล้วจะเดินหนีไปเลย นอกจากนี้แล้วสินค้านั้นจะต้องตอบสนองความสะดวกสบาย ต้องพูดตรงไปตรงมาอย่าอ้อมค้อมสื่อสารให้เข้าใจง่าย เช่น โออิชิ จัดแคมเปญ 30 ฝา 30 ล้าน เปิดปุ๊บเจอปั๊บรับหนึ่งล้านในยี่สิบสี่ชั่วโมง ไม่ต้องสะสมแต้มได้สิบแต้มแลกหนึ่งดวงครบสิบดวงแลกบัตรลดโอ้ยกว่าจะได้มันนานนะพี่น้อง แม้จะตรึงเครียดเรื่องเศรษฐกิจแต่ชีวิตก็ต้องหาทางออก ดังนั้นธุรกิจเอ็นเตอร์เทนเมนท์ถึงแม้ว่าจะได้รับผลกระทบเพราะผู้บริโภคคิดว่าเป็นสิ่งฟุ่มเฟือย แต่ถ้ากิจกรรมโดนใจก็พร้อมจะไปแสวงหา ดูอย่างตอนช่วงปีใหม่ผู้คนไปเที่ยวปายกันจนล้นทะลัก(ไม่รู้จะไปเบียดกันช่วงเทศกาลทำมัย) หรือภาพยนตร์บางเรื่องทีทำรายได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพราะฉนันหาสินค้าที่มันโดนใจและสื่อสารให้ตรงจุดแล้ว แม้เครียดอย่างไรก็ต้องหาทางออกอาจจะเป็นโอกาสดีสำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่คิดค่าบริการในราคาประหยัดทำให้ผู้บริโภคผ่อนคลายความตรึงเครียดไปได้ พลังงานที่มีต้นทุนสูงขึ้น แม้ปัจจุบันราคาจะลดลงมามากแล้วก็ตามแต่ราคาน้ำมันที่ร้อยกว่าเหรียญยังอยู่ในความทรงจำและเชื่อว่ามันอาจจะกลับมาอีกแม้จะไม่ใช่ในอนาคตอันใกล้ก็ตาม แต่ถ้าอะไรจะทำให้ประหยัดและคุ้มค่าตรงนี้ได้ก็จะมีโอกาสในการขายที่เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นวัสดุอุปกรณ์ เครื่องจักร ที่สามารถลดการใช้พลังงานลงไปได้ยังมีโอกาสอยู่สูง เพราะเป็นการลงทุนในระยะยาว ยังไงก็ขอติดเทรนไว้ก่อน ไม่ยอมตกยุคแน่นอนโดยเฉพาะผู้คนรุ่นใหม่ที่มีอายุต่ำกว่า 35 ปี คนพวกนี้เป็นพวกสุขนิยมและทำตามกลุ่มที่เราเรียกว่าจิตวิทยากลุ่ม ดังนั้นสินค้าที่สามารถสร้างกระแสให้ฮิตติดเทรนได้ก็จะมีโอกาสทางการตลาดมาก โดยเฉพาะพวกแฟชั่น บันเทิง เครื่องสำอางค์ และอุปกรณ์อีเลคโทรนิค รักอภิสิทธ์ ซึ่งไม่ใช่ท่านายกอภิสิทธิ์แต่เป็นสิทธิพิเศษต่างๆไม่ว่าจะเป็นสถานที่จอดรถพิเศษ นิตยสารที่ส่งมาเป็นพิเศษ การจัดโปรโมชั่นเฉพาะตัวลูกค้ารายนั้นแถมรู้ใจอีกว่าชอบอะไร อยากได้อะไร ซึ่งปกติก็ต้องให้อภิสิทธิ์อยู่แล้วถ้าเป็นลูกค้าระดับครีมในส่วน 20 % แรก แต่ช่วงนี้ทุกค่ายก็ต่างนำเสนอกันแบบสุดๆ ก็ต้องมาดูที่ตัวราแล้วหละว่าได้สุดๆกับลูกค้าแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มต้นได้ตั้งแต่บัดนี้เพราะว่าต้นทุนในการหาลูกค้าใหม่นั้นสูงกว่าการรักษาลูกค้าเก่าไม่น้อยกว่า ห้าหรือหกเท่านะครับพี่น้อง ก็ขอให้ทุกท่านได้ปรับตัวต้อนรับปีวัวไฟและอยู่รอดปลอดภัยเพื่อที่เราจะได้มีโอกาสมาฉลองปีเสือไม่รู้ว่าจะเป็นเสือไฟที่คอยขยำเราหรือเปล่า ยังไงก็สู้ตายครับพี่น้องงงงงงงงงงงงงงงงงงง

จุดขายประเทศไทย..........

ต้อนรับภาวะเศรษฐกิจถดถอยก็มีแต่คนถามว่าจะทำอย่างไรดี ใครๆก็ถามว่าจะปรับตัวอย่างไร ทำอย่างไรจึงจะอยู่รอด ถ้าตอบแบบกำปั้นทุบดินก็คือเพิ่มรายได้และลดรายจ่ายซึ่งนักเรียนอนุบาลสามก็คงตอบได้ แต่ถ้าท่านเป็นผู้บริหารแล้วคงต้องถามต่อว่าแล้วทำอย่างไรเพื่อให้เพิ่มรายได้และลดรายจ่าย ซึ่งหากตอบแบบอนุบาลก็คงต้องบอกว่าทำงานให้มากขึ้น และลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นซึ่งมันก็จะดูพื้นไปหน่อยสำหรับผู้บริหาร คุณตันโออิชิให้สัมภาษณ์ไว้ในรายการหนึ่งที่ออกอากาศทางช่องมันนี่แชนแนลซึ่งคุณตันบอกว่ายอดขายของโออิชิไตมาสสุดท้ายก็ยังเติบโตและเป็นไปตามเป้าหมาย ซึ่งท่านคงได้ยินมาจนเบื่อแล้วว่าให้แปรวิกฤติเป็นโอกาส แต่คำถามต่อไปคือทำอย่างไร คิดไม่ออก ที่สำคัญคิดไม่เป็นได้แต่จำคำพูดเค้ามาพูดให้โก้ๆเท่านั้นเอง แต่ถ้าเราลองมองเค้าไปในสินค้าของคุณตันเราจะพบว่ามันมีจุดขายที่เด่นชัด กลุ่มลูกค้าที่เด่นชัด และที่สำคัญเค้าสามารถสื่อสารกับลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในภาวะเศรษฐกิจถดถอยส่วนใหญ่สิ่งแรกที่จะตัดคืองบโฆษณาและงบการตลาดซึ่งในอีกมุมมองหนึ่งในภาวะอย่างที่คู่แข่งหยุดนิ่งหรือล้ากำลัง เราควรที่จะรุกแต่รุกอย่างรอบคอบและใช้งบประมาณให้เกิดประโยชน์สูงสุด ในกรณีนี้หมายถึงว่าสินค้านั้นยังมีโอกาสในอนาคตนะครับไม่ใช่ว่าสินค้าอยู่ในช่วงขาลงและไม่เห็นโอกาสขาขี้นในระยะเวลาอันควรก็ยังดันทุรังทำตลาดอยู่
ผมยังจำได้สบู่ตรานกแล้วรุกตลาดในช่วงวิกฤติต้มยำกุ้งในปี 2540-2541 นกแก้วมีโฆษณาทางทีวี และออกนกแก้วโกลด์ ฯลฯ เรียกว่ารุกตลาดก็แล้วกันและก็ประสบความสำเร็จเสียด้วยเพราะกระแสนิยมไทยและรักชาติกำลังมาในตอนนั้นเรียกว่างานเข้าเลยถ้าเทียบกับภาษาวัยรุ่นในปัจจุบัน นั่นหมายความว่าถ้าเราสามารถหาจุดขายที่ตรงกับความต้องการของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายและสื่อสารอย่างตรงแถมถูกที่ถูกเวลาแล้วละก็ความสำเร็จอยู่แค่เอื้อมเองครับ ดูอย่างประเทศดูไบซึ่งมีแต่ทะเลทรายและน้ำมันมีประชากรเพียงล้านเศษๆถ้ามีเงินแล้วไม่รู้จักใช้รู้จักหาก็มีวันหมดครับตอนนี้ดูไบกลายเป็นสวรรค์ของนักท่องเที่ยวและสวรรค์ของคนมีเงินที่ไปซื้อบ้านพัก รีสอร์ท ฯลฯ เพื่อการพักผ่อน ปัจจุบันดูไบมีนักท่องเที่ยวปีละ 5-6 ล้านคนและเป้าหมายในปี 2553 จะมีนักท่องเทียวถึง 15 ล้านคนทั้งๆที่เพิ่งเป็นรัฐหนึ่งในสหรัฐอาหรับอิมีเรสต์เมื่อปี 2514 แค่ 37 ปีดูไบมีนักท่องเที่ยวแล้ว 5-6 ล้าน และอีก 3 ปี จะมีถึง 15 ล้าน แถมเป็นนักท่องเที่ยวแบบระดับไอเอ็นด์ทีมีกำลังซื้อสูง ลองเทียบกับประเทศไทยดูซิครับว่าเราส่งเสริมการท่องเที่ยวมากี่ปีแล้วอายุจะ 60 ปีแล้ว เรายังรณรงค์ให้คนมาเที่ยวประเทศไทยได้แค่ 14 ล้านคนในปี 2550 ไม่รู้ว่าปี









2551 จะเป็นอย่างไรเพราะติดภาระทั้งทางเศรษฐกิจแถมพันธมิตรยังไปปิดสนามบินอีก ใครอยากรู้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวลดลงไปเท่าไหร่ลองถามเพื่อนๆที่ทำงานโรงแรมดูก็แล้วกัน หลายโรงแรมแถวนถนนรัชดาภิเษกปลดพนักงานไปแล้วผู้จัดการห้องอาหารต้องลงมาช่วยดูแลลูกค้า (เพราะลดพนักงานลงไป) โรงแรมโอเรียลเต็ลกรุงเทพอัตราเข้าพักต่ำกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ในรอบหลายสิบปีในช่วงฤดูท่องเที่ยวนี้ (ตุลาคม-กุมภาพันธ์) โรงแรมโอเรียลเต็ลดาราเทวีที่เชียงใหม่ปกติคืนละสองหมื่นกว่าไม่ค่อยยินดีต้อนรับคนไทยเท่าไหร่ แถมจองเต็มทั้งปีสำหรับช่วงนี้แล้วคนไทยเหลือแค่ 9,500 บาทสุทธิเองครับรวมอาหารเช้ารีบไปช่วยกันหน่อยนะครับผมเลยเห็นเป็นโอกาสดีเลยขอรีฮันนีมูนกับภรรยาฉลองสมรส 25 ปี กัดฟันซื้อตั๋วเครื่องบินไปเทียวเชียงใหม่และขอนอนดาราเทวีซักคืนตายไปจะได้ไปโม้ให้ยมพบาลฟังได้นะครับ
ขอย้อนกลับมาเรื่องดูไปดีกว่าว่าเค้ามีจุดขายอย่างไรซึ่งแน่นอนต้องเกิดจากผู้บริหารและทีมงานที่วางจุดขายของประเทศให้เป็น WORLD PLAYGROUND ENTERTAINMENT มีโรงแรมที่สูงที่สุดในโลกก็ตึกที่เห็นเป็นรูปคล้ายเรือใบที่คุ้นตาเรานั่นแหละครับซึ่งสร้างขึ้นบนเกาะที่ถมทะเลทุ่มทุนสร้าง และจะมีตึกสูงที่สุดในโลกซึ่งจะเปิดในปี 2552 นี้ มีดูไบแลนด์ใหญ่กว่าดีสนีย์แลนด์ที่ฟลอริดาถึงสองเท่า(ที่ฟอริด้าใหญ่ที่สุดในบรรดาดีสนี้ย์แลนด์ทั้งหลายที่มีอยู่ในโลกนี้ ซึ่งเที่ยวให้ครบต้องใช้เวลาสามหรือสี่วัน) มีดูไบมอลล์ซึ่งเป็นศูนย์การค้าที่ใหญ่ที่สุดในโลกพื้นที่มากกว่า 9 ล้านตารางฟุต มีดูไบเฮลท์เซนเตอร์ที่มีเป้าหมายให้เป็นเมืองสุขภาพและปลอดภาษี (แต่เชื่อเถอะว่าหมอไม่ใช่ชาวดูไบแน่นอน) กำลังก่อสร้างศูนย์กลางการเงินและการธนาคาร หรือการทำรีสอร์ทหรือเก่าบ้านพักโดยการถมทะเลเป็นรุปปาล์มและรูปแฟนที่โลกขายให้มหาเศรษฐีและนักกีฬาดังๆ ไม่วาจะเป็นเบคแฮม ไทเกอร์วู้ด กาก้า ฯลฯ จะมีสนามแข่งฟอร์มูล่าวัน ในอาบูดาบี (ซึ่งเป็นอีกรัฐหนี่งในอาหรับอิมิเรสต์ห่างจากดูไบแค่ 5-6 กม) ซึ่งไปดูฟอร์มูล่าวันแล้วไม่แวะเที่ยวในดูไบเลยเหรอครับ แน่นอนครับโครงการต่างๆเหล่านี้ไม่เพียงแต่ต้องทุ่มทุนสร้างอย่างอลังการ์แต่ต้องมีวิสัยทัศน์และรู้จักใช้เงินและให้เงินทำงานแทนโดยการดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าประเทศเพราะเขาทราบดีว่าน้ำมันอีกไม่น่าเกิน 100 ปี ก็คงหมดไปจากโลกนี้แล้วถ้าไม่มีอะไรเป็นจุดขายเงินที่มีก็จะหมดไปซักวันหนึ่ง หรืออย่างบูรไนในปัจจุบันท่านลองคิดดูนะอีก 100 ปีข้างหน้าบูรไนจะอยู่ตรงไหนเมื่อน้ำมันหมดลง ลองดูอย่างนี้แล้วลองย้อนกลับมาดูประเทศไทยเรานะครับว่าจะช่วยกันได้อย่างไรทั้งๆที่เรามีจุดขายมากมาย แต่ไม่ได้มีการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพและบูรณาการกันจนไม่รู้ว่า “จุดขายประเทศไทย” อยู่ที่ตรงไหน

อยู่อย่างไรในภาวะอนิจจัง

“อยู่อย่างไรในภาวะ อนิจจัง ! “


ท่านผู้อ่านอย่างเพิ่งเข้าใจผิดนะครับว่าผมจะเล่าให้ท่านฟังเกี่ยวกับธรรมมะ เพราะผมเป็นคนไกลวัดไม่ค่อยได้ลึกซึ้งกับพระธรรมเท่าใด ผมเขียนบทความนี้ในคืนก่อนคริสมาสที่ฝรั่งเรียกว่าคริสมาสอีฟนั่นเอง ซึ่งทุกๆปีคงเป็นการเฉลิมฉลองที่ทุกคนคงมีความสุขแต่จากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นรอบโลกของเราตลอดทั้งปีที่ผ่านมาคงทำให้คริสมาสปีนี้เป็นคริสมาสที่ไม่ค่อยจะมีความสุขเท่าใดนัก ซึ่งก็คงรวมไปการฉลองถึงปีใหม่ด้วย โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงในอเมริกาและยุโรปใครเลยจะเชื่อว่าบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกที่ผู้บริหารมีเครื่องบินเจ็ตของตัวเองอย่างบิก๊ทรีผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่สุดของอเมริกจะต้องขอเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล ใครเลยจะเชื่อว่าการเมืองไทยจะเปลี่ยนขั้วได้ ใครเลยจะเชื่อว่าพรรคประชาธิปัตย์จะจับมือกับกลุ่มเพื่อนเนวินได้ ใครเลยจะเชื่อว่าพรรคพลังประชาชนที่ได้เสียงมากที่สุดจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ ทั้งหลายนี้ล้วนอนิจจังทั้งสิ้น มีศัพท์จิ๊กโก๋บอกว่าความไม่แน่นอนคือความแน่นอนนั่นยอมหมายถึงอะไรๆก็เกิดขึ้นได้นั่นเอง
แล้วเราจะอยู่อย่างไรในภาวะ “อนิจจัง” เป็นคำถามที่คลาสสิคมากๆและคำตอบก็สุดจะคลาสสิคมากๆก็คือ “ หาให้มากใช้ให้น้อย “ เป็นคำตอบพื้นฐานถ้าเรามองแต่เพียงว่าอยู่อย่างการดำรงอยู่ การมีชีวิตอยุ่ แต่จะหาให้มากได้อย่างไรและใช้ให้น้อยได้อย่างไรหรือที่ฝรั่งเค้าเรียกว่า “HOW TO “ ต่างหากที่ตอบได้ยากกว่า ช่วงปลายปีในปีก่อนๆเรามักจะเห็นมุขเก่าของคนเก่าๆที่มักจะมีข่าวมาเข้าหูเราทั้งทางตรงหรือทางออ้มที่เจตนามาให้เข้าหูเรา (ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าตรงแบบอ้อม หรืออ้อมแบบตรงดี ) ว่ามีบริษัทนั้นมาชวนไปอยู่ด้วย อยากออกไปทำธุรกิจเอง อยากเกษียนไปพักผ่อน ปีแรกๆฟังยังจับมุขไม่ได้ก็ทุกข์ใจกลัวว่าลูกน้องจะออกไปจริงๆเพราะเค้ามีฝีมือจริงๆ แต่ปีต่อๆมาก็จับทางถูกและเห็นเป็นเรื่องขำๆถ้าปีนี้มามุขนี้อีกลองสวนกลับไปว่า “จะออกเมื่อไหร่ละจะได้เลี้ยงส่งให้สมเกียรติ” หรือ “ขอให้ประสบความสำเร็จนะ และถ้ามีอะไรให้ช่วยก็ยินดีนะ” หรือ “ ถ้าล้มเหลวก็กลับมานะที่นี้ยินดีต้อนรับเสมอ” รับรองอึ้งไปตลอดปี 2552 เลยครับเพราะลูกน้องคนนี้จะมองหน้าเราไม่ติดตลอดปีแน่นอน(เพราะมันไม่ออก) ลองหันกลับมาดูสินค้าในโกดังของเราซิครับว่ามีสินค้าตัวใดล้นสต๊อก เก่า ล้าสมัย เอามาลดแลกแจกแถมจะได้หรือไม่ อันนี้ก็เป็นความคิดพื้นฐานในการประกอบธุรกิจอยู่แล้วแต่งานนี้ท่านสั่งการอย่างเดียวไม่ได้ต้องลงมาเล่นเองด้วยในฐานะผู้บริหาร เรียกว่าลงมาล้วงลูกแบบหลงจู๊กันเลยก็ว่าได้เพราะว่าถ้าสั่งอย่างเดียวลูกน้องอาจจะไม่สามารถตอบสนองได้อย่างที่เราคาดหวังไว้ แต่จากเหตุการณ์ราคาสินค้าปรับขึ้นสูงมากทำให้ผู้บริหารส่วนใหญ่สั่งสินค้า(ตุน)ไว้เพราะคิดว่าสินค้าจะขาด








ตลาดหรือปรับราคาสูงขึ้นเรื่อยๆซึ่งมีสองนัยยะเป็นการสั่งซื้อจากการคาดการณ์ที่บริสุทธิ์ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง หรือบางคนอาจจะสั่งซื้อโดยอาศัยเหตุการณ์มาประกอบเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนอันนี้ก็ต้องพิจารณาให้รอบคอบ เรียกว่าชั่วโมงนี้ขาดทุนก็ต้องยอมละครับเพราะหากเก็บไว้ราคาสินค้าขาลงอาจจะเหมือนน้ำมันก็ได้ใครจะไปรู้ ยอมขาดทุนตอนนี้ดีกว่าของเก็บไว้อีกสิบปี หรือเน่าเสียไปโดยไร้มูลค่าคล้ายกับเล่นหุ้นละครับที่เรียกว่า”CUT LOST” มาถึงตรงนี้ลองดูนะครับว่าองค์กรของท่านมีส่วนรั่วไหลตรงไหนบ้างเพราะเป็นเวลาที่เหมาสมที่สุดเนื่องจากเรามีเวลา มีโอกาส และที่สำคัญมีความจำเป็นที่จะต้องสะสางภารกิจเพื่อ”ความอยู่รอด” ขององค์กร ทั้งเป็นการรั่วไหลจากการทุจริตหรือการรั่วไหลจากการด้อยความสามารถ หรือเลินเล่อ หรือฟุ่มเฟือยทั้งของ พนักงาน ลูกน้อง หรือแม้แต่ตัวเราเอง เราก็จะเห็นหลายๆจุดที่สามารถนำมาปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงองค์กรได้ เมื่อเรานิ่งๆมีสติประกอบกับเหตุการณ์สถานการณ์ที่แปรเปลี่ยนไปเราจะพบสิ่งที่จะปรับปรุงและแก้ไขได้อย่างแน่นอนเหมือนที่พระท่านว่า “สติมาปัญญาเกิด” อย่างผมเองปกติจะเปลี่ยนมือถือทุกๆปีเศษ (ไม่รู้จะเปลี่ยนไปทำไม) แต่ตอนนี้สามปีแล้วครับประหยัดไปได้สองหมื่นนี่แค่มี “สติ” ถามตัวเองว่าเปลี่ยนแล้วได้อะไร และต้องเสียอะไรไป แล้วถ้าไม่เปลี่ยนมือถือเราจะได้อะไรและเสียอะไรก็จะได้คำตอบที่เป็นเหตุเป็นผล นั่นเอง
ก่อนจบอยากเล่าถึง “สายัณห์” ที่เป็นตลกคณะคุณเด๋อ ดอกสะเดา ซึ่งเสียชีวิตไปแล้วพอดีได้ดูรายการตีสิบคุณวิทวัสนำคุณเด๋อ คุณปู ซึ่งอุปการะและให้ “โอกาส” กับสายัณห์ดูแล้วซาบซึ้งจริงๆ คุณปูเล่าว่าสายัณห์เอาเงินมาให้ตอนไปเยี่ยมคุณเด๋อที่โรงพยาบาลบอกว่าให้เอาไปจ่ายค่าหมอที่รักษาอาจารย์(คือคุณเด๋อ) และตอนคุณปูคลอดลูกสายัณห์ก็เอาเงินมาให้บอกว่าให้เอาเงินไปซื้อนมให้น้อง และในงานศพคุณสายัณห์ได้รับพระราชทานพวงมาลาจากทั้งสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ตลอดจนพระบรมวงศ์ษานุวงษ์ท่านอื่นๆอีก เป็นอะไรที่บอกไม่ถูกที่ “สายัณห์” เด็กดาวซินโดมคนหนึ่งได้รับจากสังคม แต่พอคุณปูเล่าพฤติกรรมของสายัณห์ผมก็ไม่แปลกใจเลย เพราะเป็นคนที่จิตบริสุทธิ์ ไม่มีพิษภัยกับใครที่สำคัญ “เป็นคนกตัญญู” ไม่เคยคิดร้ายกับใคร พวกเราละครับได้กตัญญูกับผู้มีคุณแล้วหรือยังไม่ว่าจะเป็นบุพการี หรือองค์กรที่เลี้ยงดูท่านมา หรือชุมชนสังคมและประเทศชาติที่ท่านเป็นสมาชิกอยู่ หรือว่ามัวแต่กอบโกยจนลืม”พระคุณ” ไปแล้ว แล้วในปีใหม่นี้เรามีดีเท่าสายัณห์หรือยัง โอ้ อนิจจัง !

วันอาทิตย์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2552

พลังของผู้หญิง

โดย ดร. พงษ์ศักดิ์ สวัสดิเกียรติ

และแล้วการลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญก็ผ่านพ้นไปด้วยความโล่งใจของครม.และ คมช. เพราะถ้าหากประชาชนลงมติไม่รับร่างแล้วละก็เรื่องใหญ่และถึงแม้ว่าการรับร่างจะผ่านไปด้วยคะแนน 14 ล้านต่อ10 ล้านเสียงก็ตาม แต่ก็มีผู้ตีความคะแนนออกไปต่างๆ นาๆ ว่าสีเขียวหมายถึงอะไร สีแดงมาได้อย่างไรคิดอย่างไร ใครลงให้สีเขียวบ้าง หรือสีแดงคือรักทักษิณจริงหรือไม่ไม่มีใครรู้ได้ก็ได้แต่แสดงความคิดเห็นกันไป

แต่หลังจากรัฐธรรมนูญมีผลใช้บังคับต่างหากว่ามันจะมีผลกระทบอะไรตามมา ไม่ว่าจะเป็นความอ่อนแอของรัฐบาลทั้งในแง่การบริหาร การจัดการ ที่มีรัฐบาลหลายพรรคที่ต้องต่อรองกันอย่างสุดฤทธิ์ และสส.มีอิสระเสรีไม่ต้องฟังมติพรรค (แล้วจะต้องสังกัดพรรคไปทำไม? )
อย่างไรก็ตาม อย่างที่ฝรั่งว่าไว้ THE SHOW MUST GO ON ก็ต้องแล้วแต่เวรกรรมประเทศไทยละครับเพราะยังไงก็ยังดีกว่ามีรัฐบาลที่มาจากรัฐประหารจริงมั๊ยครับ เร็วๆ นี้มีผลการสำรวจจำนวนประชากรออกมาปรากฏว่าทุกประเทศทั่วโลกมีประชากรหญิงมากกว่าชาย สัดส่วนประชากรในวัยเด็กจะลดลง และแนวโน้มประชากรสูงอายุจะเพิ่มขึ้น รวมทั้งผู้หญิงทำงานนอกบ้านเพิ่มมากขึ้น จากผลการสำรวจดังกล่าวจะทำให้เราเห็นว่าพลังหรืออำนาจซื้อของผู้หญิงและผู้สูงอายุในอนาคตจะเพิ่มสูงขึ้นเป็นลำดับ อันเป็นผลมาจากการที่ผู้หญิงมีเม็ดเงินในกระเป๋าเพิ่มมากขึ้นแถมยังตัดสินใจซื้ออย่างที่เราเรียกว่าด้วยความชอบ หรือความถูกใจแล้วละก็เท่าไหร่เธอก็ยอมจ่าย
แถมเมื่อเธออายุมากขึ้นเธอก็ยิ่งกลัวแก่ กลัวเจ็บ ที่สำคัญกลัวไม่สวย กลัวคนไม่รัก และด้วยความกลัวนี่เองที่เป็นมูลเหตุสำคัญที่ทำให้กล้าในการตัดสินใจซื้อของผู้หญิง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องสำอาง เครื่องประทินผิว หรือที่บางคนเรียกว่าสำหรับผู้หญิงแล้วต้องนำเสนอสินค้า “ผม ผิว สิว ขาว” เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เป็นผู้หญิงซึ่งตลาดในสินค้าในกลุ่มนี้เติบโตขึ้นทุกปีไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไรก็ตาม
นอกจากนี้แล้วสินค้าในหมวดอื่นๆ เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์คอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือก็มีหลายรุ่นที่ออกมาตอบสอนองความต้องการของผู้หญิง เช่น โน้ตบุ๊กไวโอของโซนี่ที่สีแดง มือถือโนเกียรุ่นๆต่างๆโดยเฉพาะรุ่นที่มีราคาแพง เช่น N SERIES ทีมีสีสันเช่นสีชมพู และลวดลายที่ตอบสนองความเป็นผู้หญิง กล้องดิจิตอลก็เช่นเดียวกัน รวมไปถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆถ้าเราสังเกตให้ดีจะพบว่า โซนี่กับซัมซุง จับอารมณ์ของผู้หญิงได้ดีกว่า ฟิลิปส์ ซันโย หรือ แคนนอน
ผมมีโอกาสไปเป็นสมาชิกฟิตเนสและเล่นโยคะปรากฏว่าสัดส่วนสมาชิกฟิตเนสเป็นผู้หญิงประมาณ 65 เปอร์เซ็นต์ ส่วนโยคะเป็นผู้หญิงถึง 90 เปอร์เซ็นต์

มีคนฟอร์เวิร์ดเมล์มารูปสายการบินอีว่าแอร์ (EVA AIR ) ของประเทศไต้หวันซึ่งอาหาร และตัวเครื่องบิน ฯลฯ มีรูปของคิตตี้ ซึ่งเป็นตัวการ์ตูนในใจของเด็กหญิงที่เมื่อโตขึ้นแล้วก็ยังรู้สึกรักและผูกพันกัน”คิตตี้”อยู่ แสดงให้เห็นว่าเจาะกลุ่มลูกค้าที่เป็นผู้หญิง
จะโปรโมชันอะไรก็มักจะทำเป็นพิเศษสำหรับผู้หญิง เช่น ตามสถานบันเทิงก็มักจะให้ผู้หญิงเข้าฟรีบ้าง(ถ้ามาคนเดียว) ซึ่งผู้หญิงไปเที่ยวคนเดียวไม่มีหรอกครับก็จะต้องมีผู้ชายไปด้วยก็คล้ายกับว่าซื้อหนึ่งแถมหนึ่งนั่นเอง รู้สึกว่าผู้หญิงเป็นผู้มีอำนาจการซื้อจริง เรียกว่าเป็นตัวจริงเสียงจริงดังนั้นสินค้าที่ขายอยู่โดยทั่วไปที่ตอบสนองคนทุกเพศลองหันมาทบทวนดูนะครับว่าจะออกบางรุ่น หรือโปรโมชัน หรือทำอย่างไรที่จะเข้าไปในหัวใจของผู้หญิงได้
และอย่ามองแค่สินค้าที่เธอตัดสินใจซื้อใช้เอง ลองดูสินค้าที่เธอมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อ ( INFLUENCER )ด้วยนะครับ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ บ้าน ธุรกรรมทางการเงิน ตลอดจนการบริการต่างๆ เพราะถึงแม้เธอจะไม่ได้ใช้สินค้านั้นเองแต่อิทธิพลของเธอนั้นไม่เบาเชียวครับ สุดท้ายเห็นจะต้องเล่าเรื่องความสุขเล็กๆที่ได้เห็น “น้องนัท AF4 “ ซึ่งได้รับรางวัลประมาณว่าเป็นเด็กดี (ซึ่งปกติในรายการนี้เอาผลโวตมาวัดเพียงอย่างเดียว) เป็นการเชิดชูคนดีที่มีอยู่น้อยในสังคม แถมรางวัลภูมิคุ้มกันที่ป้องกันตนเองไม่ให้ตกรอบ “น้องนัท”ยังยอมเสียสละเพื่อให้เพื่อนอีกคนหนึ่งได้มีโอกาสกลับเข้ามาอยู่ในบ้าน AF4 อีกครั้งหนึ่ง เป็นความงดงามและน่าชื่นชมเสียนี่กระไร
ที่หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาก็เพื่อเตือนสติกันว่า “ต้องทั้งเก่งและดี” ถึงมีจะมีความสุขเพราะมีคนรัก และนั่นคือความสุขที่แท้จริงต่างหาก และแล้วน้องนัทก็กลับมาเป็นแชม์ AF4 เหมือนที่ผมได้เคยคุยไว้กับหลายๆ คนฟันธงเอาไว้ว่าแชมป์ต้องเป็นผู้ชายเพราะว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของคนโหวตเป็นผู้หญิงซึ่งรวมถึงภรรยาและลูกสาวผมด้วยนะครับ และได้เวลาไปจ่ายค่าโทรทรูมูฟเลยพอดี

วันเสาร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2552

ช่องทางการจัดจำหน่ายในชั่วข้ามคือน

ช่องทางการจัดจำหน่ายในชั่วข้ามคืน

ดร. พงษ์ศักดิ์ สวัสดิเกียรติ

ท่ามกลางความวุ่นวายทางการเมืองที่เป็นการแย่งอำนาจกันอย่างชัดเจนที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย งบประมาณของรัฐบาลที่ครั้งหนึ่งฝ่ายหนึ่งว่ามีงบผีสามตัวคือเป็นงบกลางหลายหมื่นล้าน แต่รัฐบาลปัจจุบันก็กลับมาทำเสียเองเป็นงบกลางถึงแสนล้านบาทแล้วประชาชนก็ต้องถามว่า “ประชาชนได้อะไรบ้าง” จากการแย่งชิงอำนาจทางการเมืองในครั้งนี้
แถมคะแนนนิยมของรัฐบาลสำรวจ สามเดือน หกเดือน และเก้าเดือน ก็ตกลงตามลำดับโดยครั้งนี้ได้แค่ 4 เศษคือไม่ถึงครึ่งคงสะท้อนความรู้สึกของประชาชนได้เป็นอย่างดีว่าพวกเรารู้สึกอย่างไร คิดแล้วกลุ้มเพราะฉะนั้นอย่างไปคิดกันดีกว่ามาว่าเรื่องของเราดีกว่า เพราะไม่ว่าการเมืองจะเป็นอย่างไร แต่ธุรกิจและชีวิตของเราก็ต้องดำเนินต่อไปแบบที่ฝรั่งเขาว่า THE SHOW MUST GO ON ในการดำเนินธุรกิจนั้นหลักการตลาดเบื้องต้นปรมาจารย์คอตเลอร์ได้บอกไว้ว่า ต้องมีองค์ประกอบ 4 P คือ PRODUCT PRICE PLACE PROMOTION ซึ่งท่านทั้งหลายก็คงจะเคยได้ยินหรืออ่านผ่านหูผ่านตามาแล้ว คือนอกจากการมีสินค้าที่เราคิดตื้นๆ ว่า “สินค้าดี” คงไม่พอ เพราะว่าสินค้านั้นจะต้องตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคด้วย ไม่อย่างนั้นสินค้าจากจีนซึ่งเรารับทราบว่าคุณภาพไม่ดีคงขายไม่ออกเป็นแน่ หรืออย่างรถยนต์ VOLVO และ AUDI ซึ่งก็เป็นสินค้าที่ดีมีคุณภาพและได้รับการยอมรับในยุโรปกลับไม่ประสบความสำเร็จในประเทศไทยและเอเชียละครับ
ท่านเองคงเห็นด้วยกับผมว่าในส่วนของการพัฒนาสินค้า ตลอดจนเทคโนโลยีสามารถเรียนรู้หรือตามกันทัน แต่แนวคิดในเรื่อง PLACE หรือช่องทางการจัดจำหน่ายที่ปัจจุบัน นักการตลาดทุกค่ายต้องกลับมาทบทวนและแสวงหาช่องทางการจัดจำหน่ายใหม่ๆ กัน และยิ่งช่องทางการจัดจำหน่ายนั้นสามารถตอบสนองความสะดวกของผู้บริโภคหรือเข้าถึงผู้บริโภคได้มากเท่าใดก็ยิ่งจะทำให้สินค้านั้นประสบความสำเร็จมากยิ่ง ทั้งนี้ส่วนผสมทางการตลาดทั้งสี่ข้างต้นจะต้องเหมาะสมและโดนใจผู้บริโภคด้วย ตัวอย่างสำหรับเรื่องช่องทางการจัดจำหน่ายที่คลาสสิคมากๆซึ่งสามารถเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายได้เป็นจำนวนมากชั่วข้ามคืน เช่น
เร็วๆ นี้เราเห็นธนาคารเกิดใหม่ไม่ว่าจะเป็น ธนาคารธนชาติ ธนาคารแลนด์แอนด์เฮาส์ และธนาคารทิสโก้ซึ่งธนาคารทิสโก้นี่เองทำให้เราเห็นกึ๋นของผู้บริหาร โดยการจับมือกับไปรษณีย์ไทยซึ่งมีสาขาเกือบ 1,200 แห่งทั่วประเทศในการรับฝากเงินแถมไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมหรือต้องเขียนสลิปฝากเงินเพียงแต่มีบัตรของทางธนาคารซึ่งเป็นบัตรเอทีเอ็มด้วย เอาไปยื่นพร้อมเงินฝากทางไปรษณีย์ก็จะพิมพ์ใบรับฝากเงินให้เหมือนเราไปจ่ายเงินค่าสินค้าและรับใบเสร็จ
ตรงนี้เป็นอะไรที่เยี่ยมมากเลยเพราะการตั้งสาขาธนาคารคิดเล่นๆว่าสาขาละ 1 ล้านบาท ก็ต้องใช้เงินพันกว่าล้านบาทแล้ว แถมยังค่าใช้จ่ายด้านบุคลาการซึ่งเป็นต้นทุกที่ต้องแบกรับทุกเดือนละ ทำให้ธนาคารทิสโก้เปรียบเสมือนมีสาขาถึง 1,200 แห่ง ซึ่งเชื่อว่ามากกว่าธนาคารอื่นๆอีกหลายธนาคาร เพราะธนาคารขนาดใหญ่หลายธนาคารก็คงมีสาขาไม่ถึงหนึ่งพันสาขา อีกตัวอย่างหนึ่งก็คงเป็นสหวิริยาโอเอ หรือยี่ห้อ SVOA ที่เป็นแบรนด์คอมพิวเตอร์ท้องถิ่นที่ยังคงเหลืออยู่ในขณะที่หลายค่ายล้มหายตายจากตลาดไปแล้วเพราะสู้แรงเสียดทานจากค่ายคอมพิวเตอร์ข้ามชาติไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาใช้โน้ตบุ๊กมากขึ้นตามลำดับ
สหวิริยาต้องหันมาหาช่องทางจัดจำหน่ายเพิ่มขึ้นนอกจาก เอเย่นต์ โมเดิร์นเทรด ไอทีมาร์ท แล้วยังร่วมมือกับ “ซิงเกอร์” ซึ่งเป็นทีมขายตรงแถมผ่อนได้อีกต่างหากซึ่งทีมขายซิงเกอร์นี้สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ทุกอำเภอในประเทศไทยนี่ก็เป็นการสร้างช่องทางการจัดจำน่ายในชั่วข้ามคืน
หันมาดูค่าย DTAC ที่ขายบัตรเติมเงินผ่านรถขายไอศกรีมเนสท์เล่ก็เป็นกรณีศึกษาที่คลาสสิกมากๆ อีกตัวอย่างหนึ่ง และสุดท้ายการที่เมเจอร์ไปเทคโอเวอร์อีจีวีก็เป็นอีกกรณีศึกษาในการเพิ่มโรงภาพยนตร์และครองตลาดโรงภาพยนตร์ที่อาจจะเรียกได้ว่าเกือบถึงร้อยเปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว
แล้วท่านละครับลองทบทวนดูว่าช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าของท่านยังมีช่องทางอื่นหลงหูหลงตาไปบ้างหรือเปล่า เพื่อที่จะทำให้ THE SHOW ที่เราต้องเล่นนั้นเป็น THE SHOW ที่ประสบความสำเร็จในที่สุด



หาเหตุผลมาตอบสนองอารมณ์

หาเหตุผลมาตอบสนองอารมณ์

โดย พงษ์ศักดิ์ สวัสดิเกียรติ อาจารย์พิเศษโครงการปริญญาโทเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ ม.เกษตรศาสตร์ [10-10-2007]
ขณะนี้คนไทยส่วนหนึ่งคงรอคอยวันเลือกตั้งที่คาดว่าน่าจะเป็นวันที่ 23 ธันวาคม 2550 เพราะเชื่อว่าหลังเลือกตั้งแล้วเหตุการณ์ต่างๆ จะดีขึ้นทั้งเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง แต่ข้อเท็จจริงก็คงต้องรอดูเมื่อวันนั้นมาถึงว่าจะเป็นไปตามที่เราคิดและคาดหวังไว้หรือไม่ แต่ยังไงก็ยังดีกว่าที่จะอยู่อย่างไม่มีความหวัง หรือหวังอย่างลมๆ แล้งๆ ก็แล้วกัน

ในทางการบริหารและการตลาดก็เฉกเช่นเดียวกันจะต้องอยู่ด้วยความหวัง ความเชื่อ แต่ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นไปได้ เช่น การที่คนเราจะซื้อสินค้าชิ้นหนึ่งก็คงต้องเชื่อ หรือหวังว่าสินค้านั้นจะตอบสนองความต้องการ หรือแก้ปัญหาของเขาได้ แต่ทั้งนี้ก็ต้องกลับมาทบทวนว่าปัญหานั้นเป็นปัญหาที่แท้จริงหรือไม่ เช่น การที่มีสิวเสี้ยนบนจมูก ก็ไม่เห็นจะรบกวนหรือทำให้เราด้อยค่าแต่ประการใดนักการตลาดก็จับเอามาเป็นประเด็นให้เป็นปัญหาแล้วเขาก็มีสินค้ามาตอบสนองหรือแก้ไขปัญหาให้นั่นเอง หรืออย่างโลชั่น โรลออน ฯลฯ ก็ต้องมีสูตรที่เรียกว่า WHITENNING ดังนั้นหน้าที่ของนักการตลาดก็คือพยายามค้นหาความต้องการที่ซ่อนเร้น (CUSTOMER INSIGHT) แล้วพยายามตอบปัญหาให้กับลูกค้าเป้าหมายนั้นนั่นเอง มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งมีข้อสรุปว่า คนเราตัดสินใจซื้อเพราะมีอิทธิพลจาก “อารมณ์” โดยพยายามเอาอารมณ์มาตอบเป็นเหตุผลในการสนองความต้องการของตนเอง เช่น สินค้านั้นออกแบบมาดี ซึ่งตามภาษาวัยรุ่นเรียกว่า “โดน” ทำให้เลือกและตัดสินใจซื้อ แต่ทั้งนี้ก็ต้องไม่ลืมในเรื่องของคุณภาพและราคาด้วย ส่วนใหญ่นักศึกษาที่ผมสอนอยู่เวลาให้ทำกราฟตำแหน่งของสินค้ามักจะเอาเรื่องราคาและคุณภาพมาเป็นแกนในการจัดทำตำแหน่งของสินค้า ผมถามว่าคุณภาพคืออะไรก็มักจะตอบไม่ได้ จึงต้องย้ำอยู่เสมอว่าให้เอาจุดยืน หรือจุดขายของสินค้านั้นมาเป็นตัวตั้ง ตลอดจนการตอบสนองทางด้านอื่นๆไม่ว่าจะเป็นด้านอารมณ์ หรือ ด้านเทคนิคด้านประโยชน์ใช้สอย เพราะหากทำแค่คุณภาพและราคาแล้วเราไม่สามารถตอบโจทย์ในเรื่องของคุณภาพว่าเราจะนำเสนออะไร หรือสื่อสารกับลูกค้าเป้าหมายอย่างไรนั่นเอง หากบอกแค่ว่าสินค้าเราคุณภาพดีราคาถูกแต่เพียงอย่างเดียวเมื่อยี่สิบปีก่อนอาจจะทำได้ แต่ในยุคปัจจุบันผู้บริโภคมีการศึกษาสูงขึ้น แสวงหาข้อมูลในการตัดสินใจซื้อ และแต่ละวันรับสื่อ และสาร (MESSAGE) ต่างมากมายทำให้เกิดการเรียนรู้และสร้างการรับรู้ที่เราเรียกว่า (AWARNESS) จนจะไปมีผลต่อการตัดสินใจซื้อในที่สุด ตัวอย่างเช่น การเลือกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าโดยเฉพาะ ทีวีแอลซีดี หรือพลาสมา โทรศัพท์มือถือ และ กล้องถ่ายรูป เป็นต้น ซึ่งขณะนี้เราคงไม่ปฏิเสธว่า “ซัมซุง” ได้ครองส่วนแบ่งทางการตลาดมากขึ้นเรื่อยๆ จะเป็นรองก็โซนี่ในหมวดทีวีและกล้องดิจิตอล และเป็นรองโนเกียในหมวดโทรศัพท์มือถือ หากมองย้อนกลับไปให้ดีเมื่อ 10 ปีก่อน “ซัมซุง” ไม่เป็นที่ยอมรับในตลาดเมืองไทยเท่าใดแต่จากการปรับปรุงรูปลักษณ์ การออกแบบ ประโยชน์ใช้สอย และโดยในปีที่ผ่านมาใช้งบประมาณทางด้านการคิดค้นและวิจัยพัฒนาสินค้ากว่า 6 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 2 แสนล้านบาท (คิดเป็นประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์ของงบประมาณของรัฐบาลไทย) ก็เลยไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไม สินค้า “ซัมซุง” ถึงโดนใจประชาชน เพราะโดยส่วนตัวแล้วเชื่อว่าการเรียนรู้ทางเทคโนโลยีนั้นไม่ต่างกัน หรือต่างกันแต่ผู้บริโภคก็ไม่สามารถสัมผัสได้เพราะแต่ละค่ายก็บอกค่าทางเทคนิคที่ไม่ต่างกัน เช่น ทีวีแอลซีดี จะใช้ระบบ HD แต่ถามหน่อยเถอะว่าแล้วเรามีซอฟต์แวร์ที่ซัพพอร์ทระบบ HD หรือไม่คำตอบคือยังไม่มี หรือมีก็แพงเกินกว่าจะจ่าย ลองสังเกตดูซิครับว่า ทีวีแอลซีดีที่เราดูที่โชว์รูมชัดแจ๋วแหววเลย แต่พอซื้อมาถึงบ้านระบบทีวีและดีวีดีในบ้านเรายังไม่ใช่ระบบ HD เลยไม่ชัดเท่าที่โชว์รูม ดังนั้นรูปลักษณ์การออกแบบน่าจะเป็นตัวกระตุ้นและสรุปในการตัดสินใจซื้อได้ ก็เลยไม่แปลกใจว่าทำไม “ซัมซุง” จึงได้รับรางวัลยอดเยี่ยมที 2007 จากสมาคมภาพและเสียงแห่งยุโรปถึง 4 กลุ่มผลิตภัณฑ์ คือ ทีวีแอลซีดี LE40R81B / โฮมเธียเตอร์ TXQ120 / โทรศัพท์มือถือ U 700 / และกล้องถ่ายรูปดิจิตอลรุ่น I 70 แต่ยังไงผมก็ยังไม่ซื้อทีวีแอลซีดีของ”ซัมซุง” ตอนนี้หรอกครับเพราะเพิ่งชำระค่าทีวีพลาสมาไปที่ราคา แสนสอง แต่ตอนนี้เหลือประมาณ 5 หมื่น ในระยะเวลาไม่ถึง 1 ปีดีตอนนี้ก็เลยรอว่าทีวีแอลซีดีขนาด 40-42 นิ้วลดเหลือ 3 หมื่นเมื่อไหร่ค่อยซื้อ เพราะคราวที่แล้ว “อารมณ์” พาไปให้ซื้อซะแพงเลย ตอนนี้เลยเริ่มฉลาดขี้นทำให้ค้นพบคำตอบที่แท้จริงว่า “โง่ย่อมมาก่อนฉลาด”เป็นคำตอบสุดท้ายครับท่าน

คอลัมภ์เล่าเท่าที่เห็น

บล๊อกนี้เป็นที่รวบรวมบทความ ข้อคิดเห็นของผมที่เขียนลงในนิตยสาร วรสาร หนังสือพิมพ์ หรือสือสิ่งพิมพ์อื่นๆ โดยข้อเขียนเป็นไปในลักษณะเล่าเรื่งอราวตามหัวข้อว่า "เล่าเท่าที่เห็น" ซึ่งได้เคยรวบรวมเป็นพ๊อคเก็ตบุคแล้วสองเล่ม เร็วนี้คงได้ออกเล่มที่สาม

เนื้อหาทั้งหลายก็จะเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสังคมในช่วงเวลาหนึ่งๆ โดยนำมาเล่าให้สอดคล้องกับแนวคิดและทฤษฎีทางการตลาด การบริหาร การจัดการ เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้สังเคราะห์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้กับธุรกิจและชีวิตประจำวันได้อย่างเหมาะสม

ผมเองเป็นอาจารย์พิเศษโครงการปริญญาเอกการจัดการกีฬาร ม.เกษตรฯ (สอนวิชาพลวัตรการตลาดในโลกกีฬา) โครงการปริญญาโทเศรษฐศาสตร์ม.เกษตรฯ ทั้งวิทยาเขตบางเขนและลพบุรี (สอนวิชาเศรษฐศาสตร์การตลาดขั้นสูง) และโครงการเอ็มบีเอ ม.เกษตรฯ ม.ขอนแก่น ม.เทโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ รวมเวลาในการสอนทั้งสิ้น 16 ปี และได้เดินทางไปดูงาน ท่องเที่ยว ติดต่อค้าขายเจรจาการค้าในต่างประเทศมากกว่า 100 ครั้ง รวมทั้งสิ้น 36 ประเทศ ทั้งนี้ได้นำประสบการณ์ทั้งจากการทำงาน การเดินทาง การอ่าน การดู และการสอน มาประยุกต์ใช้ในการเขียนเหตุการณ์ต่างๆโดยนำมาเทียบเคียงกับทฤษฎีหรือแนวคิดทางการบริหาร การจัดการ การตลาด และสังคมศาสตร์

ถ้าหากอ่านแล้วเห็นว่าดีมีประโยชน์ก็ไม่ขัดข้องและอนุญาติให้นำไปเผยแพร่ได้โดยเสรี ทั้งนี้ยกเว้นเพื่อการค้าและผลกำไรเท่านั้นนะครับ

บอลข่าน ย่านสงคราม

  บอลข่าน   ย่านสงคราม 26 เมษายน 25678             ช่วงวันหยุดสงกรานต์ที่ผ่านมาผมได้ลางานมากที่สุดในประวัติการทำงานของผม   คือลางานทั้...