วันอังคารที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2567

“ธุรกิจเวลเนส เฮ็ดอย่างไรเด้อ ?? “ 31 มีนาคม 2567

“ธุรกิจเวลเนส  เฮ็ดอย่างไรเด้อ ??

31 มีนาคม 2567

            ความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย ที่จัดอันดับในเดือน มิ.ย. 2566 ที่ผ่านมา  โดยสถาบัน IMD (International Institute for Management Development)   ได้จัดอันดับความสามารถในการแข่งขัน (World Competitiveness Ranking) ของไทยดีขึ้นจากอันดับที่ 33 ในปีก่อนมาอยู่อันดับที่ 30 ในปีนี้จากทั้งหมด 64 ประเทศ   ซึ่งแม้จะดีขึ้นแต่ก็คงต้องยอมรับความสามารถของประเทศไทยกำลังสูญเสียความสามารถในการแข่งขันไปอย่างช้าๆ    อันอาจจะเนื่องมาจากปัญหาการเมืองในประเทศที่เกือบ 20 ปีจมปลักกับ ทักษิณและการปฏิวิติรัฐประหาร      จากจำนวนประชากรและอัตราการเกิดและตายซึ่งค้นพบว่าสามปีที่ผ่านมา  2564-2566 ประชากรไทยลดลงทั้งสามปี  คือมีคนตายมากกว่าคนเกิด   จนเป็นเหตุให้รัฐบาลต้องกำหนดเป็นวาระแห่งชาติว่า “มีลูกกันเถอะ”  ทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนแรงงานและยังมีภาระในการดูแลผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นในทุกๆปีเป็นสำคัญ

            หากมองในแง่การผลิตและอุตสาหกรรมแล้วต้องยอมรับว่าเราสูญเสียความสามารถในการแข่งขันไปอย่างมีนัยสำคัญ  โดยดูได้จากอัตราการเติบโตและความเชื่อมั่น  และ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม หรือ Manufacturing Production Index (MPI) คือ ดัชนีสะท้อนค่า GDP ในภาคอุตสาหกรรมโดยเฉพาะ ที่แสดงถึงความถดถอยเป็นลำดับ   แต่มีดัชดีและอุตสหาหกรรมบางประเภทที่ยังเป็นเครื่องมือในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ  

            คำตอบถูกต้องแล้วครับ  คือ  “อุตสาหกรรมท่องเที่ยว”   ซึ่งในปี 2567 ช่วงสามเดือนแรก 1 มกราคม-10 มีนาคม 2567 พบขณะนี้ไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเที่ยวไทยทะลุ 7.4 ล้านคนแล้ว สร้างรายได้ ประมาณ 359,273 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าในปี 2568 เราจะมีนักท่องเที่ยวเท่าๆกับก่อนสถานการณ์โควิดคือในปี  2562 ที่เรามีนักท่องเที่ยวเฉียดๆ 40 ล้านคน  ซึ่งหากมองให้ลึกลงไปอีกก็จะค้นพบว่าการท่องเที่ยวนั้น   เป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรม “Wellness Industry” หรืออุตสาหกรรมความงามและการดูแลสุขภาพ  แต่ผมจะใช้คำว่า  “อุตสาหกรรมแห่งความสุข”  Wellness = Well being = Happyness    ซึ่งสถาบัน  Global Wellness Institute (GWI) รายงานว่าปี 2568 มีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจเพื่อสุขภาพของทั้งโลก จะมีมูลค่าประมาณ 7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 230 ล้านล้านบาท  และอุตสาหกรรมนี้ยังแบ่งได้เป็น  9 อุตสาหกรรมย่อย 12 สาขา   ดังนี้

 


           

CR ภาพ : Global Wellness Institute

แล้วปัจจัยแห่งความสำเร็จของธุรกิจเวลเนสคืออะไร  โดยผมขอแบ่งออกเป็นสามส่วนคือ  ABS STRATEGY  คือ

            1.AWARENESS  &  ATTENTION  ซึ่งจำเป็นต้องใช้องค์ความรู้ทางด้านการตลาด  ในการสร้างการรับรู้ว่ามีอยู่ของธุรกิจและบริการของเรา  ด้วยเครื่องมือทางการตลาดต่างๆที่ตรงกับลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย   อีกทั้งสาร หรือ สื่อ นั้นๆจะต้องสร้างความน่าสนใจและหยุดลูกค้ากลุ่มเป้าหมายให้ดู  ฟัง  จดจำ  และสนใจ  ธุรกิจและบริการของเรา   เพราะทุกวันนี้มีสื่อมากมายที่ผ่านเข้ามาในโสตประสาทสัมผัสทั้ง 5   ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ  สื่อยูทูบ  อยากถามว่าใครดูโฆษณายูทูปจนจบบ้างซึ่งสื่อนี้ตรงกลุ่มเป้าหมายแน่นอน  แต่จะตรึงผู้ชมให้ดูจนจบและสนใจในสินค้านั้นคงต้องใช้มืออาชีพในการสร้างคอนเทนท์เพื่อหยุดผู้ชมในการ  “กดข้าม”

            2.BELIVE / TRUST  เมื่อสนใจแล้วไปค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม  ว่าสินค้าและบริการนั้นน่าเชื่อถือ  ธุรกิจเอสเอ็มอีส่วนใหญ่มีแต่   เฟสบุค  แฟนแพจ และไลน์  ขาดหน้าร้านที่จะสามารถสร้างความน่าเชื่อถือหรือให้ข้อมูลทางเทคนิค ฯลฯ  ที่จะทำให้ลูกค้าเชื่อ ศรัทธา และตัดสินใจได้  เพราะการมีเว็บไซท์  ที่อยู่  ที่ติดต่อได้อย่างเป็นทางการเปรียบเสมือนเรามีตัวตนจริงๆ  และในเว็บไซท์นั้นยังสามารถมีข้อมูลเพิ่มเติม   ภาพประกอบ  คลิปอธิบายความ   ข้อมูลลูกค้าเก่าที่เคยใช้บริการ  ฯลฯ ซึ่งจะทำให้ตัดสินใจเชื่อและศรัทธา  จนนำไปสู่การตัดสินใจซื้อในที่สุดได้

            3.SERVICE MIND  จิตบริการในที่นี้มิได้หมายความว่าสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ตามที่บริษัทกำหนด  แต่หมายถึงผู้ให้บริการนั้นสามารถเข้าใจความต้องการของลูกค้า ณ. ขณะนั้นๆได้  ตีความหมายบทสนทนา  และดูบริบทโดยรวมเพื่อการปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ  เช่น   คอลเซนเตอร์ของผู้ให้บริการโทรศัทพ์เคลื่อนที่รายหนึ่งตอบคำถามได้หมด  ให้ข้อมูลถูกต้อง  ในเวลาที่สมควร (แม้จะช้าไปบ้างเป็นส่วนใหญ่)      แต่ผู้ให้บริการอีกรายหนึ่งในหน้าจอคอมพิวเตอร์จะขึ้นข้อมูลว่าลูกค้าเพิ่งเดินทางไปอินโดนีเซียมา  ก่อนจบบทสนทนาก็สอบถามว่าที่เดินทางไปอินโดนีเซียสัญญาณการให้บริการโทรศัพท์และอินเตอร์เน็ตเป็นอย่างไรบ้าง ??    โอ้ย..... เราจะปลื้มหรือไม่ครับ    หรือ หากเราไปใช้บริการสปาแล้วพนักงานซึ่งตามที่บริษัทกำหนดก็จะต้องบริการด้วยความสุภาพ   สุภาพเรียบร้อย  บริการครบทุกขั้นตอนอย่างเป็นมาตราฐานเดียวกัน   แต่  พนักงานที่สปาแห่งนี้จำได้ว่าข้อนิ้วเท้าเราจะต้องนวดเบาๆเพราะเราเป็น  “เก๊าต์”  ...... ก็สอบถามว่าหายหรือยังจะคงยังให้นวดเบาๆอยู่อีกหรือไม่ ??  อันนี้แหละ จะทำให้    “เก๊าต์ประทับใจ”  จน  ไปบอกต่ออย่างแน่นอน   .......อิอิ  ไม่เชื่อลองดู........

 

วันจันทร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

ใจบันดาลแรง แล้วแซงเข้าเส้นชัย

 


 CR : Ski and Snowboard Association of Thailand

            เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการเมืองและบิ๊กป้อมใดๆทั้งสิ้น  เพราะว่าลุงแกตกยุคไปเรียบร้อยโรงเรียนทักกี้แล้ว   แต่เป็นเรื่องของเด็กสาวคนหนึ่งที่ในชีวิตไม่เคยใช้ชีวิตแบบจริงๆในเมืองหนาว  หรือเคยเล่นกีฬาเมืองหนาว  มาก่อนในชีวิต  

            ใช่ครับ.....ถ้าเป็นคนในวงการกีฬาก็คงจะเดาได้ว่าผมกำลังจะเขียนถึง  “น้องชมพู่” หรือ “น้องแอน”  หรือที่ชื่อจริงเธอคือ   “อาเซเย  กัมเปออล”  ที่ได้รับเหรียญเงินโอลิมปิกเยาวชน ฤดูหนาวครั้งที่ 4  ที่เกาหลีเมื่อเดือนมกราคม 2567 ที่ผ่านมา  ในกีฬาที่เรียกว่า  Bobsleigh (เลื่อนน้ำแข็ง) ประเภท women’s Monobob  ทำเวลาได้ 1:54.17 นาที เข้าเป็นที่ 2  แพ้นักกีฬาจากเดนมาร์ค  ที่ทำเวลาได้ 1:53.31  ไปแค่ เสี้ยววินาที   สำหรับกีฬาประเภทนี้ คือประมานว่ามีรถเลื่อนซึ่งนักกีฬาจะต้องดันเลื่อนอันนี้แล้วก็วิ่งขึ้นไปนั่ง   เลื่อนจะวิ่งไปตามรางที่เป็นน้ำแข็งใครใช้เวลาน้อยที่สุดก็เป็นผู้ชนะไป

            เห็นแค่ชื่อใครๆก็คงเดาได้ว่าน้องเป็นลูกครึ่ง.....และ.....คงใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหนาวที่ใดซักแห่งในโลกใบนี้

            ........ ใช่ครับ  น้องเป็นลูกครึ่งอิตาลี  อายุแค่ 18 ปี และคงเล่นกีฬาโอลิมปิกเยาวชนได้ครั้งนี้เท่านั้นเพราะครั้งหน้าอายุเกินแล้ว  และจะต้องไปเล่นกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวต่อไป     แต่ว่าน้องไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในอิตาลีครับเพราะพออายุ 5-6 ปี ก็กลับมาอยู่ที่ประเทศไทยจนปัจจุบัน  

            อ้าววว....แล้วน้องไปเล่น Bobsleigh (เลื่อนน้ำแข็ง)  ได้อย่างไร  อะไรเป็นแรงบันดาลใจ   หรือ ใจบันดาลแรงครั้งนี้  ตามผมมาครับ

            น้องเริ่มเล่นกีฬาที่เรียกว่า โรลเลอร์สกี  ก็ยิ่งสงสัยว่าคือกีฬาอะไร   ..... มันคือเอาสกีที่เล่นในเมืองหนาวมาใส่ล้อแล้วไถไปตามถนนซึ่งกำลังได้รับความนิยมขึ้นเรื่อยๆ  ในประเทศไทย

  


 CR : Ski and Snowboard Association of Thailand

            หลังจากนั้นด้วยความร่วมมือของสมาคมสกีและสโนว์บอร์ดแห่งประเทศไทย  กับทางเกาหลีที่มีทุนเพื่อสนับสนุนและส่งเสริมให้คนในประเทศร้อนหรืออบอุ่น  ได้มีโอกาสในการเล่นและแข่งขันกีฬาฤดูหนาว     โดยมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนให้เยาวชนได้ไปแข่งขันโอลิมปิกฤดูหนาว   ทางสมาคมจึงได้เปิดรับสมัครนำเยาวชนมาเข้าค่าย 28 คน  และคัดเหลือ 12 คน  แต่ด้วยความสัมพันธ์อันดีและหรือเห็นความตั้งใจจริงของสมาคมและเยาวชนที่เข้าค่ายกันมา   เลยเพิ่มให้เป็น 19 คนซึ่งทางเกาหลีเป็นสปอนเซอร์ให้หมดทั้ง  ค่าเดินทาง ที่พัก อาหาร และ คชจ.อื่นๆ  เป็นเวลา  1 เดือน  ซึ่งงบประมาณก็ได้รับการสนับสนุนจาก  OLYMPIC SOLIDARITY กองทุนสงเคราะห์โอลิมปิกระหว่างประเทศ  และ คณะกรรมการโอลิมปิกของเกาหลี  อันเป็นการตอกย้ำถึงปรัชญาของโอลิมปิก   ที่มิใช่แค่การแข่งขันเพื่อชัยชนะแต่เพียงอย่างเดียวจะต้องส่งเสริมความเท่าเทียมในทุกๆด้าน  จึงได้สนับสนุนและส่งเสริมให้ทุกๆประเทศในโลกนี้มี  “โอกาส”  ที่ทัดเทียมกัน  ซึ่งได้มีหลายๆโครงการที่เป็นเครื่องตอกย้ำปรัชญานี้  เช่น  การมีทีมนักกีฬาผู้ลี้ภัย  การให้โควต้ากีฬาประเภททีมเช่นวอลเล่ย์บอลหากทวีปใดไม่มีทีมเข้าร่วมตามโควต้าแรกก็จะให้สิทธิ์ทีมที่อันดับดีที่สุดในทวีปนั้นเข้าร่วมซึ่งในปารีสเกมส์2024 นี้ คงเป็นทีมจากทวีปอัฟริกา  เป็นต้น

โดยโครงการนี้เริ่มต้นเมือกลางปี  2022  “ชมพู่”  เข้าร่วมการอบรมและได้เล่นเครื่องเล่นนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต  ซึ่งผมเดาว่าน้องคงยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ไอ้ Bobsleigh (เลื่อนน้ำแข็ง) คืออะไร (ว๊ะ) ??     หลังจากนั้นได้รับการคัดเลือกให้กลับไปเก็บตัวและฝึกฝนกีฬาเลื่อนน้ำแข็ง ที่เกาหลีใต้อีกในปี 2023  ซึ่งในแผนการฝึกซ้อมในรอบสุดท้ายมีเยาวชนไทยได้รับการคัดเลือก 6 คน  โดยสองเดือนแรกจะเป็นการเตรียมความพร้อมทางด้านร่างกายและกล้ามเนื้อต่างๆตามหลักวิทยาศาสตร์การกีฬา  หลังจากนั้นก็เข้าสู่ฤดูการแข่งขันเพื่อเก็บคะแนน  โดยเริ่มตั้งแต่ ตุลาคม 2522 ถึง  เดือน กุมภาพันธ์ 2023  รวมระยะเวลา 5 เดือน  เพื่อลงแข่งขันจำนวน 8 ใน 12 ครั้งเพื่อเก็บคะแนนสะสม  ซึ่งน้องก็เก็บคะแนนผ่านได้สิทธิ์เข้าร่วมโอลิมปิกเยาวชนฤดูหนาวในที่สุด

เวลาและคะแนนของน้องชมพู่อยู่กลางๆไปแข่งขันแบบไม่มีความหวังเสียเท่าใด .....  แต่ระยะเวลาที่เหลืออยู่ด้วยความทุ่มเทของน้องๆ  สมาคม  โค้ช  ทีมงาน เจ้าหน้าที่  ก็พยายามอย่างเต็มความสามารถ สมกับแนวคิดของโอลิมปิกว่า 

“ faster, higher, stronger-together

ซึ่งมิได้หมายถึงชัยชนะแต่เพียงอย่างเดียว  ยังคงความหมายถึงว่า จะทำให้เร็วกว่าเดิม  สูงกว่าเดิม  เข้มแข็งกว่าเดิม  และ ร่วมด้วยช่วยกันนั่นเอง

ที่สำคัญ.... น้องชมพู่..... มีความมุ่งมั่นอย่างมากทุ่มเทสุดกำลังและพักการเรียน  ม.4-5 ที่ รร.กุมพวาปี      “ชมพู่” ใช้ใจบันดาลแรง....แล้วแซงเข้าเส้นชัย  แม้ลำดับที่สอง   แต่ประวัติศาสตร์ต้องจากรึกไว้ว่า  “ชมพู่”  เป็นคนแรกที่ได้เหรียญทองกีฬาโอลิมปิกเยาวชนฤดูหนาวของไทย  และอาจจะเป็นคนแรกที่คว้าเหรียญโอลิมปิกเกมส์ฤดูหนาว(ประชาชาชน)  ในอนาคตก็เป็นได้   เพราะน้องเป็นชาวอีสานบ้านเฮาที่เฮ็ดได้ทุกอย่างเด้อ..........

 

 

วันจันทร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2567

ประทับใจ มิใช่แค่รอยยิ้ม

 

7


            บทความนี้เป็นบทความแรกของปี 2567 ซึ่งคงจะเป็นปีทีภาวะเศรษฐกิจยังคงมีปัญหา และอ่อนไหวต่อการเติบโต  ทั้งของประเทศไทยและของโลก   ซึ่งทุกวันนี้โลกแคบลงทุกวันตลอดจนเทคโนโลยีโดยเฉพาะการสื่อสารนั้นพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว  วันนี้มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นแค่เพียงไม่ถึง 1 นาที่ประชาคมโลกก็จะทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในมุมกว้างอย่างรวดเร็ว   สำหรับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นในประเทศไทยเมื่อไม่กีวันก่อน  คือการที่ศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำพิพากษาคดีคุณพิธาถือหุ้นไอทีวี   ซึ่งเป็นที่สนใจของทั้งด้อมส้ม  เสื้อแดง เหลือง ฟ้า เขียว ฯลฯ   พออ่านจบไม่ถึง 1 นาที   มีการส่งต่อเรื่องนี้ว่า “พิธารอด” ในกลุ่มไลน์อย่างทันทาวงที่   หรือใครที่เป็นแฟนฟุตบอลพรีเมียลลีคหากได้ติดตามอย่างใกล้ชิดก็จะพบว่าแม้ไม่ได้ดูถ่ายทอดสดก็สามารถรับทราบผลฟุตบอลสดๆว่าทีมใดนำอยู่  เหลือเวลาอีกกี่นาที  แม้กระทั่งต่อเวลาอีกกี่นาทีก็ตาม

            ดังนั้นการที่เราจะทำให้ธุรกิจและสินค้าของเรานั้นเป็นที่ยอมรับ  และอยู่ในดวงใจของลูกค้าโดยเฉพาะลูกค้าระดับพรีเมียม  หรือลูกค้าที่มียอดซื้อสูง / กำไรสูง  หรือลูกค้าเก่าแก่  แม้แต่ลูกค้าที่เป็นผู้นำทางความคิดนั้น  นอกจากการที่ธุรกิจจะต้องตอบสนองในด้านความต้องการของสินค้าที่แท้จริง  คือสามารถแก้ปัญหาหรือตอบโจทย์ให้ลูกค้าได้ที่เรียกว่า  PAIN POINT” ได้  คงไม่พอเพียงเพราะแค่นั้นคงเป็นเพียงตอบสนองแค่ความพอใจ  เพราะได้สินค้าตรงกับความคาดหวังเท่านั้น     ยังคงต้องมีองค์ประกอบในเรื่องของการบริการและการตอบสนองลูกค้าทางด้านอารมณ์  ให้เกิดการประทับใจ    และหากเราประทับใจแล้วก็จะเกิดการบอกต่อ  ปกป้อง  และรอคอยว่าจะมีสินค้าใหม่ รุ่นใหม่  หรือบริการใหม่ๆขององค์กรนั้นๆอีกหรือไม่   จะได้ไปใช้บริการและจับจ่ายใช้สอยนั่นเอง

            การบริการทีดีมิใช่แค่เพียงแต่รอยยิ้ม  หรือคำพูดที่หวานๆ  สุภาพ  ที่มิได้ออกมากจากใจ    พูดเป็นแบบแผนเดียวกันหมด  แต่ไม่เกิดอรรถรสในการฟังเพราะสำเนียง และน้ำเสียงนั้นไม่บ่งบอกถึงจิตใจที่อยากบริการ  ที่เราจะเห็นได้จากโอปเรเตอร์บางบริษัท หรือหน่วยงานรัฐเช่นตำรวจ  เป็นต้น   หรือแค่รอยยิ้มที่ต้องยิ้มทั้งปาก  ใบหน้า  ดวงตา  และ จิตใจด้วยเป็นสำคัญ

            อย่างเพียงแค่ปฏิบัติตามข้อกำหนด (PROCEDUER)  เท่านั้นจะต้องเข้าใจความต้องการของลูกค้าด้วย   มีเรื่องที่เกิดขึ้นอยากนำมาเล่าสู่กันฟังเมื่อหลายปีก่อนผมแขนหักข้างขวาใส่เฝือกแข็งและต้องเดินทางไปอิตาลี   ก็นั่งสายการบินแห่งชาติซึ่งในชั้นบิสิเนสคลาดแอร์ก็บริการครบถ้วนตามกระบวนการที่กำหนดไว้  เสริฟด้วยความเรีบร้อย ยิ้มแย้มแจ่มใส  แต่คงขาดใจที่จะใส่ลงไปว่าลูกค้าจะเปิดขวดแยมอย่างไรหว่า ??   เพราะแขนหักข้างขวาแถมขวดแยมคงนึกออกนะครับว่ามันเป็นขวดแก้วและล๊อคแน่นมาก  (ไม่ใช่แบบตลับพลาสติกปิดด้วยฟรอยด์)    ผมก็พยายามช่วยตัวเองแต่ก็เปิดไม่ได้   เราก็เรยรอว่าเมื่อไหร่เธอเดินมาเราจะทำท่าเปิด ให้เธอเห็นและเธอคงจะช่วยเราเองเน๊อะ   5555  หามีไม่จนต้องออกปากว่าน้องครับรบกวนช่วยเปิดขวดแยมให้หน่อยคราบบบบ

            แต่เมื่ออาทิตย์ก่อนพาลูกค้าศรีลังกาไปทานอาหารที่ร้าน  “สเวย”  ที่เทอร์มินอล 21  อโศก  ให้คนขับรถเอาบัตรจอดรถมาให้เพื่อว่าชำระเงินแล้วจะได้เอาไปสแตม์ปจอดฟรี   แต่ปรากฏว่าพนักงานเข้าใจว่าเป็นซุปฯหรือ ผจก. ทราบเพราะเราถามนางว่าต้องไปสแตมป์ที่ตรงไหน   นางก็บอกสถานที่แต่.....  แต่..... นางกลับบอกว่าให้เอาสลิปค่าอาหาร(น่าจะของโต๊ะอื่น เพราะเราเพิ่งสั่งไปของยังมาไม่ครบ)  พร้อขอบัตรจอดรถของเรา   และเดินไปให้กับพนักงานขับรถของเราที่เดินออกจากร้านไปแล้ว    เพื่อให้ไปสแตมป์ก่อนและไปรอที่รถเรย

            สุดยอดเรยครับ .......  ขอโทษที่ไม่ได้ขอชื่อนางเพื่อประกาศกิติตคุณว่า  ประทับใจ  ใช่แค่รอยยิ้ม “    แต่ขอบอกต่อถ้าใครไปกินที่ร้านนี้นางจะผมสั้นๆและอาวุโสที่สุดในบรรดาพนักงานที่เดินๆอยู่ในร้าน   ฝากกราบคารวะใน  “จิตบริการ”  ของนางด้วย นะครับ ...........

 

วันจันทร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2566

เม็งกะลาบา เมียนมาร์ จับใจ

 

เม็งกะลาบา  เมียนมาร์ จับใจ

26 ธันวาคม 2566


             จากข้อมูลของกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน  ไตรมาสที่ 1/2566 กระทรวงแรงงาน ระบุตัวเลขแรงงานต่างชาติในไทยมีจำนวน 2,743,673 คน แบ่งเป็น เมียนมา 1.86 ล้านคน, กัมพูชา 4.14 แสนคน, ลาว 2.10 แสนคน และเวียดนาม 2,230 คน และแรงงานสัญชาติอื่นๆ 3 แสนคน ทั้งนี้ แรงงานต่างด้าวในไทยคิดเป็น 6.92 % ของจำนวนแรงงานทั้งหมดในไทย

แต่ข้อเท็จจริงยังมีแรงงานต่างด้าวอยู่ในประเทศไทยไม่น่าจะน้อยกว่า  10 ล้านคน และ เป็นเมียนมาร์ถึง 6-7 ล้านคน กระจายอยู่ทั่วประเทศแต่คาดว่าน่าจะมากสุดที่จังหวัดสมุทรสาคร  ซึ่งเป็นแหล่งโรงงานอุตสาหกรรม และ ธุรกิจการประมงเป็นหลัก   ซึ่ง Media Intelligence Group ได้ประเมิณมูลค่าทางเศรษฐกิจของชาวเมียนมาร์ในประเทศไทยสูงถึง 0.85-1.25 ล้านล้านบาทต่อปี  ซึ่งนับเป็นตัวเลขที่มีนัยะสำคัญทางเศรษฐกิจ   หากเราเอาตัวเลขกลมๆก็ 1.0 ล้านล้านบาท  คือเป็นสองเท่าของงบประมาณที่รัฐบาลท่านนายกเศรษฐา  เตรียมที่จะแจกคนไทยคนละ 10,000 บาทในปีหน้า

แต่ว่ายอดเงิน 1.0 ล้านล้านบาทนี้ไม่ได้หมุนเวียนอยู่ในประเทศไทย  เพราะไม่ทราบแน่ชัดว่าเงินรายได้ของแรงงานเมียนมาร์ในไทยนั้นถูกส่งกลับไปประเทศบ้านเกิดเท่าใด   เพราะไม่ได้ผ่านระบบธนาคาร    แต่ถ้าตั้งบนสมมุติฐาน 50 เปอร์เซนต์ (แต่ข้อเท็จจริงน่าจะส่งกลับไปมากกว่านั้น )   ก็จะประมาณการว่ามีเงินหมุนเวียนในประเทศไทยสร้างจีดีพีไทยถึง  0.5 ล้านล้านบาท หรือ 5 แสนล้านบาทนั่นเอง 

แล้วเราจะหาทางดึงรายได้ของชาวเมียนมาร์เหล่านี้ให้จับจ่ายใช้สอยมากขึ้นในประเทศไทยได้อย่างไร  ก็คงต้องเฝ้ามองพฤติกรรมของแรงงานเหล่านี้ว่ามีพฤติกรรมอย่างไร  เพื่อจะดึงให้เขาได้จับจ่ายใช้สอยเพิ่มมากขึ้น  ซึ่งจาก 5 แสนล้านเป็นอย่างน้อยที่ประเมินว่าส่งกลับบ้าน   หากดึงได้ 1-2 แสนล้านก็มีนัยสำคัญต่อจีดีพีประเทศไทยแล้วครับ

การกรุต้นการบริโภคของแรงงานต่างด้าวเหล่านี้สามารถทำได้อย่างไม่ยาก  หากหน่วยงานรัฐเห็นความสำคัญและเม็ดเงินนี้ก็สามารถทำได้ด้วยการเพิ่มกิจกรรมของแรงงานต่างด้าว  ซึ่งรวมถึงชาว ลาว กัมพูชาด้วย  ก็ด้วยการจัดกิจกรรมต่างๆให้คนเหล่านี้ออกมาใช้สอย  โดยกิจกรรมนั้นจะต้องสอดรับกับพฤติกรรม  ของชนชาตินั้นๆ  ไม่ว่าจะเป็นพิธีทางศาสนา  ทางการบันเทิง    โดยอาจจะมีพรีเซนต์เตอร์ หรือ ดารา นักร้อง ที่เป็นขวัญใจของแรงงานแต่ละชาตินั้นๆ เป็นจุดดึงดูด

ผมเคยแนะนำทีมฟุตบอล หรือ ฟุตซอล หรือ วอลเล่ย์บอล  สมุทรสาครให้มีนักกีฬาบิ๊กเนมของชาวเมียนมาร์มาเป็นนักกีฬาในทีมนั้นๆ  แต่ก็ต้องเอาที่มีฝีมือและช่วยทีมได้ในระดับหนึ่ง   เพื่อดึงดูดแฟนคลับให้ติดตาม    และซื้อบัตรเข้าชมการแข่งขันเพราะแรงงานเหล่านี้หยุดงานวันอาทิตย์วันเดียว  ไปไหนไกลไม่ได้เพราะทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย    ดังนั้นการจัดกิจกรรมใดๆที่โดยกับจริตของแรงงานเหล่านี้    โดยจัดในวันอาทิตย์และในแหล่งรวมแรงงานเพื่อไม่ต้องเดินทางไกล   ก็จะเป็นการตอบโจทย์  

หรืออย่ากระนั้นเลยจัดงาน  “เมียนมาร์แฟร์อินมหาชัย”  ไปเลย  จัดแบบว่า ปีละ 2 ครั้ง  เชื่อได้ว่าคนจะมาร่วมงานเป็นแสนๆ คนต่ออีเวนต์อย่างแน่นอน   ซึ่งในสมุรสาครจำนวแรงงานในระบบที่ขึ้นทะเบียนไว้มี  2.6 แสนคน เป็นแรงงานเมียนมาร์ 1.4 แสนคน  ใช่ครับที่ไม่ได้ลงทะเบียนน่าจะอีกเท่าตัวหนึ่งเป็นอย่างน้อย

ซึ่งแน่นอนการใช้ภาษาท้องถิ่นของชาตินั้นๆย่อมเป็นเครื่องแบรนด์จะดึงดูดลูกค้าชาตินั้นๆให้จดจำ  และเป็นที่ชื่นชอบในแบรนด์นั้นๆ   ต้นแบบในเรื่องนี้ก็คื่อสินค้าในอเมริกาที่กลุ่มเป้าหมายเป็นฮิสปานิค  คือกลุ่มชาติที่ใช้ภาษาสเปนเพื่อการสื่อสาร   ก็จะมีพรีเซนเตอร์  แนวคิดโฆษณา  ประชาสัมพันธ์  และภาษาที่ใช้สอดรับกับชาติเหล่านั้น  ที่เราเห็นอย่างชัดเจนจับต้องได้สำหรับประเทศไทยคือ   น่าจะ 30 ปีที่แล้วเอทีเอ็มในจังหวัดสมุทรสาครจะมีภาษาเมียนมาร์ให้เลือกด้วย

และปัจจุบันนี้หลายๆแบรนด์ก็ได้ใช้แนวคิดนี้มาเพื่อสื่อสารกับลูกค้าต่างชาติเหล่านี้  โดยในเว็บ  หรือ  ในแอป  จะมีภาษต่างๆให้เลือกมากขึ้นจากเดิมที่มีแต่ ไทย จีน อังกฤษ หรือ ญี่ปุ่น  ก็จะมีลาว  เขมร เมียนมาร์  มาเป็นตัวเลือกอีกด้วยขึ้นอยู่กับลูกค้าเป็นชาติใดๆ   ที่ชัดเจนที่สุดคือ  ค่ายมือถือเอไอเอสได้เริ่มทำมาหลายปีแล้ว   ธนาคาร  รวมทั้งสินค้าอื่นๆก็ต้องปรับตัว  ปรับภาษา   ให้สอดรับกับกลุ่มเป้าหมายนั่นเอง

 

           

 

 

 

“ธุรกิจเวลเนส เฮ็ดอย่างไรเด้อ ?? “ 31 มีนาคม 2567

“ธุรกิจเวลเนส   เฮ็ดอย่างไรเด้อ ?? “ 31 มีนาคม 2567             ความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย ที่จัดอันดับในเดือน มิ.ย. 2566 ที่...