วันพุธที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

@ GRAY MARET @



             


              


                                               เครดิตภาพ : https://www.sanook.com/women/50017/

               
       ปล่าว......ผมไม่ได้ตั้งใจจะเขียนเรื่อง ตลาดรถยนต์  ซี่งคนส่วนใหญ่คงนึกว่าผมคงจะเขียนถึงเรื่องตลาดรถยนต์นำเข้าอิสระซึ่งไม่ได้เป็นผู้แทนจำหน่ายจากผู้ผลิต   แต่สิ่งที่ผมจะเขียนถึงในวันนี้ก็คือ เกรย์มาร์เก็ต  ที่หมายถึงตลาดของผมสีขาว หรือสีดอกเลา  แปลได้ว่า.....ตลาดผู้สูงวัย  นั่นเอง !!!!     ในที่นี้จะขอกำหนดให้ตั้งแต่เกษียณเป็นต้นไปคือ 60 +  เป็น สว. กลุ่มที่จะกล่าวถึง     

           จาก  http://www.ipsr.mahidol.ac.th/ipsrbeta/th/Gazette.aspx   สถาบันวิจัยประชากรและสังคมของมหาวิทยาลัยมหิดล  ได้คาดการณ์ประชากรไทย ณ. มิถุนายน 2561  ว่ามจะมีจำนวนประชากรทั้งสิ้น   66.23 ล้านคน มีอัตราเพิ่มไม่มากนักแค่ 0.2  ซึ่งนับได้ว่าการคุมกำเหนิดของประเทศไทยประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง  จะมีประชากรในวัยแรงงาน คืออายุ 15-59 ปี  43.038 ล้านคน (ลดลงจาก 10 ปีที่แล้ว และสัดส่วนจะลดลงเป็นลำดับ)    แต่ตัวเลขที่น่าสนใจคือจะมีคน สูงวัยที่อายุ 60 ปีขึ้นไป  11.770  คิดเป็น 17.77 % ทีเดียว  และในจำนวน นี้เป็นผู้สูงวัยที่อายุ   65 ปีขึ้นไปถึง  7.919 ล้านคน  ซึ่งจะเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างสมบูรณ์ (Aged Society) คือมีสัดส่วน 20 % ในปี 2564  (อีกแค่3 ปี )  และคาดกันว่าในปี 2570  (อีกแค่ 9 ปี )  จำนวนผู้สูงวัยจะมากขึ้นเป็นลำดับจนจะสังคมผู้สูงวัยระดับสุดยอด ( Super Aged Society)

                ผู้สูงวัยในยุค 2560-2570 นี้ แตกต่างจากยุคก่อนมากๆ  เพราะมีปัจจัย และ  พฤติกรรมที่แตกต่างจากคนสูงวัยรุ่นก่อนๆ  ซึ่งแน่นอนมันเป็นพลวัตรของโลก  ของสังคม  สำหรับในประเทศไทยนั้นผมขอแสดงความคิดเห็นไว้ดังนี้
                1.ผู้สูงวัยยุคนี้ จะมีสุขภาพที่แข็งแรงขึ้น  แม้ว่าจะมีโรคแปลกประหลาดๆต่างๆเกิดขึ้นมา  แต่ด้วยวิทยาการทางการแพทย์และสาธารณสุข  ทำให้สุขภาพของผู้สูงวัยมีคุณภาพชีวิตทางด้านร่างกายที่ดีกว่ายุคก่อนๆ
                2.มีสตางค์มากขึ้น  ทั้งนี้เกิดจากระบบประกันต่างๆที่เมื่อ ยี่สิบสามสิบปีก่อน ได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องทั้งประกันชีวิต  ประกันสุขภาพ  ประกันสังคม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ  กองทุนเพื่อการเกษียณ ฯลฯ  รวมทั้งมีระบบการออมเงินที่หลาหลายทำให้ผู้สูงวัยเหล่านี้  มีสตางค์ในประเป๋ามากขึ้น
                3.ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ผู้สูงวัยมีเงินจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นก็จะมาจากลูกหลาน  ที่คอยช่วยเหลือในยามชราซึ่งแตกต่างจากสังคมตะวันตก  ที่พออายุ 18 ปีขึ้นไปก็ต้องช่วยตัวเองและสุดท้ายก็นั่งหงอยเป็นแมวเหงาอยู่ในสวนสาธารณะในยามชรานั่นเอง
                4.คนในวัยนี้หนี้สินไม่มีแล้ว  หรือ มีก็น้อยมาก(เฉพาะคนที่บริหารจัดการไม่เป็น)  ทำให้หมดภาระในการต้องผ่อนชำระ  หมดภาระในการส่งเสียบุตรหลาน ฯลฯ ทำให้เงินที่มีอยู่สามารถนำมาจับจ่ายใช้สอยได้อย่างไม่ต้องพะวงมากนัก  ยกเว้นคงพะวงในเรื่องการดูและรักษาสุขภาพ ในยามเจ็บป่วยเป็นสำคัญ  เอ.....แต่บางคนยังยืมนาฬิกาเพื่อนอยู่เรย  อ้าว..อ้าว....อ้าว.....  ไหงมาลงตรงนี้ได้ คริๆ
                5.มีเวลาเพราะไม่ต้องไปทำงาน  ทำให้มีเวลาว่างมากสามารถทำกิจกรรมใดตามที่ใจปรารถนา  จนมีผู้สูงวัยบางคนออกเดินทางท่อเงที่ยว  ไปในที่ฝันอย่าจะไปจำได้ว่ามีคุณป้าคนหนึ่งชื่อป้าแต๋ว  อายุ65 แต่แบกเป้เที่ยวรอบโลกเพราะมีทั้งเวลา ทั้งเงิน และสุขภาพที่แข็งแรง   
                6.มีการศึกษาเฉลี่ยสูงกว่าผู้สูงวัยยุคก่อนๆ  ทำให้สามารถศึกษาหาความรู้จากแหล่งต่างๆได้อย่างสะดวก  เช่น ทางอินเตอร์เน็ต  และ สื่อสังคมออนไลน์ 
                7.พฤติกรรมกล้าใช้เงิน  ต่างจากคนยุคก่อนที่ต้องเก็บไว้ให้ลูกหลาน (ถลุงเล่น ??)  ทำให้มีสินค้าต่างๆที่มาตอบสนองความต้องการของผู้สูงอายุเหล่านั้น  โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจบริการ  ไม่ว่าจะ ท่องเที่ยว  สปา  ความงาม  ฟื้นฟูส่วนที่ศึกหรอ  การแพทย์และอุปกรณ์  อุปกรณ์อิเลคโทรนิคที่ตอบสนองความสูงวัยต่างๆ ฯลฯ

  



เมื่อปลายปี 2560 ผมได้ไปทัศนศึกษาที่คาบสมุทรบอลติค  คือ  ประเทศลัทเวีย ลิโธเนีย แอสโตรเนีย  ได้พบกับกลุ่มครูกลุ่มหนึ่ง  ซึ่งกลุ่มพี่กลุ่มนี้เกษียณมา สามสี่ปีแล้วเดินทางท่องเที่ยวตลอดเพราะเหตุผล 5 ข้อข้างต้น  คือ สุขภาพดี  มีสตังค์  กล้าใข้จ่าย  ไม่มีหนี้ และมีเวลาแยะ  อ้อ...ท่านโสดเป็นส่วนใหญ่ ไม่ต้องห่วงลูกหลานไม่มีจะกิน  ลองดูปัจจัยเหล่านี้ดูแล้วพิจารณาเลือกกิจกรรมให้เหมาะกับท่านดูนะครับ
ตอนเด็กๆ               มีแรง       มีเวลา     ไม่มีตัง
ตอนทำงาน             มีแรง      ไม่มีเวลา  มีตัง(น้อย)
ตอนกลางคน         มีแรง       ไม่มีเวลา                  มีตัง(เริ่มมากขึ้น)
ตอนเริ่สูงวัย           มีแรง       มีเวลา     มีตัง (น่าจะมากพอ)
ตอนสูงวัยจริงๆ      ไม่มีแรง   มีเวลา     มีตัง (มากแน่ๆ ? )
ก็เลือกเอาเองนะครับ ผู้สูงวัยทั้งหลายว่าจะเดินทางท่องเที่ยว  หรือ ทำกิจกรรมใดๆที่ท่านฝัน  ปรารถนา  ควรจะกระทำในช่วงอายุขัยใด 
ส่วนผมอีก ปี เศษ  ก็ไปอยู่ร่วมสังคมกับท่านแล้วครับ  พี่น้อง............แล้วเจอกันที่ ...ปลายฟ้า  555





วันพฤหัสบดีที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

“เวียดนามตามไทย......และแซงไปได้ ???”



                การเติบโตทางเศรษฐกิจของเวียดนามในปี 2560 คาดกันว่าน่าจะอยู่ที่ ไม่น้อยกว่า 6.0 %   และคาดการณ์ว่าจะมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าในปี 2559 เศรษฐกิจเวียดนามขยายตัวร้อยละ 6.2 ลดลงจากปี 2558 ที่มีการขยายตัวถึงร้อยละ 6.7   โดยคาการณ์ว่าอัตราการขยายตัวของ GDP จะเพิ่มสูงขึ้นในปี 2560 – 2561 โดยเฉลี่ยร้อยละ 6.7 ต่อปี   การเติบโตทางเศรษฐกิจของเวียดนามได้แรงส่งจากภาคการผลิตและการส่งออกที่แข็งแกร่ง รวมถึงสินเชื่อในประเทศที่โตต่อเนื่องและการฟื้นตัวของภาคเกษตร การส่งออกยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่องจากการที่สินค้าส่งออกของเวียดนามสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลกเนื่องจากต้นทุนค่าแรงที่ถูก สินค้ามีคุณภาพและเป็นที่ต้องการของตลาดโลก แม้ในช่วงที่ผ่านมาจะได้รับผลกระทบจากการยกเลิกการผลิตมือถือรุ่น Galaxy Note 7 ของบริษัทซัมซุงจากปัญหาแบตเตอรี่ระเบิดก็ตาม     (ศูนย์ข้อมูลข่าสารอาเซียน  กรมประชาสัมพันธ์)
                นั่นเป็นการคาดการณ์ตามมุมมองทางวิชาการและในมุมมองของราชการ  แต่ในฐานะที่ผมเดินทางไปเวียดนาม (โฮจิมินท์)  มาตั้งแต่ปี 2000  นับเป็นเวลา 18 ปี ไม่น้อยกว่า  25 ครั้ง  (มีไปฮานอย 5-6 ครั้ง)  ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาทั้งทางเศรษฐกิจ  สังคม  และ วิถีชีวิตของชาวเวียดนาม (ที่อยู่ในเมือง)  พอสมควร  การพัฒนาทางเศรษฐกิจของเวียดนามมีความต่อเนื่อง  และราบรื่นแม้ในยามที่ภาวะเศษฐกิจโลกตกต่ำ  เวียดนามซึ่งพึ่งพาการส่งออกเป็นตัวขับเคลื่อนอยู่ไม่น้อย  ก็ยังรักษาระดับการเติบโตได้อย่างน่าพอใจแม้จะต่ำกว่าเป้าหมายไปบ้างก็ตาม
                เมื่อต้นปีผมได้มีโอกาสครั้งแรกที่ไปเยือนเวีดนามในฐานะนักท่องเที่ยว  ที่เมืองซาป  และ นิงบินท์  โดยเดินท่างไปกับเพื่อนักเรียนเก่าสามเสนวิทยาลัย  ห้อง 5/4  รุ่น 22  ที่คบกันมาตั้งแต่ 2519 เป็นเวลา 41 ปี  ก็สนุกสนานกันแบบเพื่อนที่รู้ใจมึงมาพาโวย  คุยกัน  หัวเราะกัน  สนุกสนานกัน นึกถึงวันเก่าๆ    แต่สิ่งที่ผมสังเกตุได้คือการพัฒนาทางด้านการท่องเที่ยวในเวียดนาม  ซึ่งผมเชื่อว่าคงศึกษามาจากไทยเป็นต้นแบบได้อย่างหนึ่ง  อัตรานักท่องเที่ยวเวียดนามเติบต่ออย่างต่อเนื่องเมื่อก่อนมีไฟท์บินไป  โฮจิมนท์และ ฮานอยไม่กี่เที่ยวบิน  แต่ปัจจุบันนี้เพิ่มขึ้นอย่างมากและต่อเนื่องทุกปี  ยิ่งสายการบินต้นทุนต่ำเติบโตก็ยิ่งทำให้เกิดโอกาสการท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ   แบบว่าใครๆก็บินได้ตามสโลแกนของไทยแอร์เอเชียเค้าทำให้ค่าทัวร์หมื่นต้นๆ  ใครๆก็ไปเวียดนาม / พม่า  เพราะมีสิ่งที่น่าสนใจอยู่มากทีเดียว  อันนี้หมายถึงนักท่องเที่ยวไทย  คงไม่ต้องพูดถึงนักท่องเทียวยุโรปที่เวีดยนามเป็นสิ่งที่น่าค้นหา เพราะตั้งแต่เหนือจรดใต้มีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเพราะ เวียดนามเป็นประเทศที่ยาวมากจากเหนือสุดถึงไต้สุดมีความยาวถึง 1,650 กม.  พื้นที่มีทรัพยากรและป่าไม้อยู่มากมาย   เป็นหนึ่งในสิบหกประเทศทั่วโลกที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงสุด อีกทั้งมีสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศที่หลากหลาย มีแม่น้ำไหลผ่านหุบเขาและที่ราบมากกว่า 2,800 สาย โดยเป็นแม่น้ำที่มีความยาวมากกว่า 10 กิโลเมตรกว่า 2,300 สาย มีพื้นที่ป่าเขตร้อนมากถึงร้อยละ 40 ของพื้นที่ประเทศ รวมถึงป่าชายเลนที่มีพื้นที่ประมาณ 2 แสนเฮกตาร์ (1.25 ล้านไร่) โดยมีพันธุ์ไม้ 13, 000 ชนิด มีรุกขชาติมากกว่า 7,000 ชนิด แบ่งเป็น 239 สายพันธุ์    ที่ยังรอการพัฒนาอยู่อีกมากที่สำคัญคนเวียดนามมีความอดทน และมุมานะ  วิ่งสู้ฟัดสูงมาก  ซึ่งผมเชื่อว่าเป็นผลมาจากภาวะสงครามที่ทำให้เกิดวัฒนธรรมดังกล่าว   เราลองดูประเทศที่ผ่านสงครามกลางเมืองมาแล้ว  ไม่ว่าเยรมันนี  เกาหลี  เวียดนาม  หรือแม้แต่ญี่ปุ่นที่สมัยสงครามโลกก็ถูกถล่มจนแทบไม่เหลืออะไร  แต่ประเทศเหล่านั้นกลับมาผงาดในเวทีโลได้   ซึ่งผมเชื่อว่าเวียดนามจะตามสองสามประเทศดังกล่าว  แม้ไม่อาจจะเจริญเติบโตเท่าก็ตาม   แต่ตาม..................และแซงเราได้อย่างแน่อน..............คิดแล้วเศร้า !!!!!!!
                ที่สำคัญไปกว่านั้น  จำนวนประชากรที่มีมากถึง  89 ล้านคน  มีอัตราการเกิด  1.96  ต่อผู้หญิงหนึ่งคน(ข้อมูล ณ.2558  วิกิพีเดีย )   แต่โครงสร้างประชากรของเวียดนาม  มีประชากรในวัยที่สามารถทำงานได้ถึง  67 %  ที่อายุระหว่าง  15-65  ปี    โดยมี อัตราผู้สูงอายุที่มากกว่า 65 ปี แค่ 6 % (สงสัยตายไประหว่างสงครามเวียดนามแยะมาก)    และมีประชากรเด็ก 0-14 ปี ถึง 27 %   นั่นหมายถึงสามารถสร้างผลผลิตและสร้างเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ  ได้อย่างต่อเนื่องไปอีกหลายสิบปี     ในขณะที่ประเทศไทยมีการคาดประมาณว่าในปี 2564 จะกลายเป็นสังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์ มีสัดส่วนประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปร้อยละ 20 และปี 2574 จะเป็นสังคมสูงอายุระดับสุดยอด สัดส่วนประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปร้อยละ 28  โอมายก๊อต  OMG   เราเองก็อยู่ในกลุ่มนี้ด้วย   .....55555555
                จากข้อมูลของ  THE LONG LIFE VIEW  พบว่าประเทศไทยในปี 2593 อันดับการเติบโตของจีดีพีจะแพ้  ทั้งเวียดนาม  ฟิลิปปินส์  อินโดนีเซีย  มาเลเซีย  ตกจาก อันดับที่ 20 ในปี 2559  เป็น  อันดับที่ 25 ในปี 2593 (ผมน่าจะตายไปแล้ว  555)   ในขณะที่เวียดนามจะปรับจาก อันดับที่ 32  เป็นอันดับที่ 20  แทนประเทศไทย


   
                ผมตั้งข้อสังเกตุว่าเหตุใดประเทศเราถึงจะแพ้ประเทศทั้งสี่ข้างต้นนั้นดังนี้
                1.อุปนิสัยของคนไทย   ชอบสบายแบบเบิร์ดๆ    คนรุ่นใหม่ๆเติบโตมาอย่างสุขสบาย  (รวมทั้งลูกผมด้วย)  หรือเราเลี้ยงลูกผิดด้วยความรักอยากให้เขาสบายๆ  เลยกลายเป็นปลูกอุปนิสัยรักสบาย  ไม่สู้ไม่อดทน  เราจะเห็นได้จากเราขาดแรงงาน ต้องจ้างแรงงานต่างด้าวถึง 3-4 ล้านคน  แต่คนไทยไปลงทะเบียนคนจนถึง 11.4 ล้านคน  เนื่องจากรายได้ไม่ถึง 100,000 บาทต่อคน  ซึ่งถ้าทำงานแรงงานรายวัน 300 บาท  ก็จะไม่อยู่ในเกณฑ์นี้
                2.การเมืองการปกครองเราไม่นิ่ง  มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา  โดยแค่เปลี่ยนกลุ่มผู้มีอำนาจ ที่ผลัดกันเขามาแสวงหาประโยชน์   ขาดวิสัยทัศน์ที่จะนำพาประเทศไปสู่ความยั่งยื่น 
                3.แม้เราจะมีทรัพยากรธรรมชาติอยู่ไม่น้อยแต่จาก 50 ปีที่ผ่านมา  ขาดการบริหารจัดการ และแบ่งปันที่ไม่เหมาะสม   
                และพวกเรากันเองไม่กระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการจับจ่ายใช้สอยในประเทศเรามุ่งเน้นที่การส่งออกมากไปใน 20-30 ปีที่ผ่านมา  แม้ตอนนี้จะพยายามสร้างเศรษฐกิจด้วยการเพิ่มการบริโภคในประเทศแต่ก็ติดขัดด้วยราคาพืชผลการเกษตรมันตกต่ำ  (เป็นไปตามภาวะ เศรษฐกิจของโลก)  ทั้งๆที่ทุกรัฐบาลก็มีนโยบายในการกำหนดพื้นที่เพาะปลูก (เพื่อควบคุมซัพพลายให้เหมาะสม)   แต่ก็ทำไม่สำเร็จซักรัฐบาลแม้แต่รัฐบาลลุงตู่  
และที่พวกเราไม่ค่อยใช้สอยกันในประเทศ   ก็เพราะเรามีเพื่อนให้ยืมไม่ต้องซื้อเพื่อมาบริโภคเอง   เพราะแม้แต่  นาฬิกา  ยังยืมเพื่อน  แหวน  ก็รอแม่ให้  เศรษฐกิจเรยไม่หมุนเวียนงัยครับ    อ้าว......มาลงตรงนี้ได้งัย...ง่า...อุ๊ปส์...!!!!

บอลข่าน ย่านสงคราม

  บอลข่าน   ย่านสงคราม 26 เมษายน 25678             ช่วงวันหยุดสงกรานต์ที่ผ่านมาผมได้ลางานมากที่สุดในประวัติการทำงานของผม   คือลางานทั้...