@@@@@@@ ใครเลยจะเชื่อว่า “เป็บซี่” กับ “เสริมสุข” ที่เป็นพันธมิตรกันมาถึง 60 ปีจะต้องพังทลายลง มันคงเปรียบเหมือนกับคู่ครองที่อยู่กันจนแก่เฒ่า ประสบความสำเร็จลูกหลานเติบโตซึ่งน่าจะมีความสุข แต่พอเข้าวัยเกษียณกลับต้องมาหย่ากัน ต่างคนต่างอยู่แต่ในกรณีนี้อาจจะแตกต่างกัน เพราะเมื่อแยกจากกันแล้วกลับต้องมาเป็นคู่แข่งกัน ความสำเร็จของเป็บซี่ในประเทศไทยคงปฏิเสธไม่ได้ว่า “เสริมสุข” เป็นปัจจัยที่สำคัญในลำดับต้นๆ เป็บซี่ไทยจะมีวันนี้ไมได้เลยหากขาดเสริมสุขซึ่งนอกเหนือจากเป็นผู้บรรจุ ผู้ผลิต แล้วยังเป็นผู้จัดจำหน่ายและกระจายสินค้าที่ทรงประสิทธิภาพมากที่สุดรายหนึ่งในประเทศไทย ถ้าบอกว่าช่องทางตู้แช่แล้วละก็ต้องยกนิ้วให้กับเสริมสุขเพราะนอกจาก คลังสินค้าในแต่ละจังหวัดซึ่งมีอยู่ 49 แห่ง โรงงานอีก สามแห่ง ที่สำคัญรถเสริมสุขที่มีถึง 1,200 คัน ซึ่งสามารถเข้าถึงตู้แช่ที่มีถึง 250,000 แห่งทุกตู้ด้วยความถี่ที่ขอบอกว่าถี่มากๆ เพราะด้วยระบบผลตอบแทนพนักงานขายซึ่งก็คือพนักงานขับรถด้วยนั้นทำให้พวกเขาทำงานกันอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย
จากช่องทางการจัดจำหน่ายที่แข็งแกร่งนี่เองทำให้ ผู้บริหารของคาราบาวแดงถึงกับบอกว่าความสำเร็จของคาราบาวแดง คือ ABCD ไม่ใช่ 4P ตามตำราการตลาด ซึ่ง A หมายถึง แอ๊ด คาราบาว Bหมายถึง แบรนด์ เป็นสินค้าที่มีแบรนด์มาก่อนหน้าแล้วคือวงดนตรีคาราบาว C คือ คาราบาวทุกคนรู้จักกันดีอยู่แล้ว และ D คือ ผู้กระจายสินค้า นั่นก็คือเสริมสุข ทำให้คาราบาวแดงอยู่ยั้งยืนยงแบบยืนยง โอภากุล มาถึงทุกวันนี้
แล้วอะไรทำให้ ทั้งเสริมสุขและเป็บซี่ต้องมาแยกกัน แน่นอนผลประโยชน์คือคำตอบสุดท้าย ผมคงไม่กล่าวงที่มาที่ไปเพราะว่าท่านผู้อ่านที่ติดตามข่าวคราวต่างๆก็คงจะทราบกันดีพอประมาณแล้ว แต่ข้อเขียนนี้อยากจะตั้งคำถามว่า “แล้วอะไรจะเกิดขี้น ?? “
แน่นอนที่สุด “เสริมสุข” ต้องมีน้ำดำของตัวเอง ซึ่งการผลิตน้ำดำนั้นไม่มีอะไรที่ยุ่งยาก ผมหมายถึงแค่ผลิต.....แต่จะให้รสชาดถูกใจลูกค้ากลุ่มเป้าหมายนี่ซิยากยิ่ง ซึ่งในกรณีนี้คือคนรุ่นใหม่ที่ใหม่กว่าคนรุ่นใหม่ของเป็บซี่ เพราะมันเป็นสินค้าแบรนด์ใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนในท้องตลาดคนที่จะเอ่ยปากสั่ง “กระเพาไก่ไข่ดาว และ เอส ครับเจ๊” คงจะมีไม่มากนักเป็นแน่ แล้วเหตุไฉนเสริมสุขถึงกล้าหาญชาญชัยถึงเพียงนั้นที่จะมีน้ำดำเป็นของตนเอง
คำตอบอยู่ตรงนี้ครับ .................เมื่อวานไปทานข้าวกลางวันที่ตลาดอยุธยาเราก็สั่งตามประโยคข้างต้นนั้นแหละ แต่เจ๊เจ้าของร้านบอกว่า “เป็บซี่ ไม่มี มีแต่เอส จะรับมั๊ยคะ” เรียบร้อยโรงเรียนเสริมสุขครับพี่น้อง ทั้งโต๊ะบอกก็ได้เพราะมันเป็นสินค้าที่ทดแทนกันได้ผมเชื่อว่าคงมีส่วนน้อย ถึงน้อยมากที่บอกว่าไม่เอา จะเอาเป็บซี่ถ้าไม่มีเอาน้ำเปล่ามาแทน แล้วยิ่ง เป็บซี่ ปัจจุบันนี้ไม่มีแบบที่บรรจุขวดซึ่งขายมีสัดส่วนถึง 70% เป็นขนาดบรรจุที่ขายในร้านอาหารตามสั่ง ตามตู้แช่ ร้านโชวห่วย ซึ่งก็เป็นเพราะเหตุสองเรื่อง คือ ไม่สามารถกระจายสินค้าได้แบบเสริมสุขเพราะแบบบรรจุขวดแก้วนั้นเป็นอะไรที่งานหนักมากๆ ที่สำคัญคงไม่อยากลงทุนซื้อรถ 1,200 คัน พร้อมจ้างคนอีกไม่รู้เท่าไหร่ เรื่องที่สองก็คือโรงงานผลิตขวดแก้วนั้นในประเทศไทยมีอยู่จำกัด และก็เป็นของขาใหญ่ที่ใช้ขวดแก้วเยอะ ก็คือ ค่ายช้าง กับ ค่ายสิงห์
ถึงแม้ว่าทางเป็บซี่จะออกข่าวว่าพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป หันมาดื่มแบบขวดพลาสติกกันมากขึ้น คำตอบนี้ถูกต้องแค่ครึ่งเดียวครับเพราะว่าในโมเดินเทรดแน่นอนขวดพลาสติกขายดีกว่าและก็มีสัดส่วนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตามการขยายตัวของโมเดินเทรดซึ่งจะเห็นได้จากสัดส่วนการตลาดของค่าย บิ๊กโคล่า ที่เจาะแต่เฉพาะขวดพลาสติก ที่สามารถแย่งส่วนแบ่งตลาดจากเดิมที่มีแค่สองค่ายคือ เป็บซี่กับโค้กเท่านั้น ที่สำคัญที่เป็นตัวเลขที่ทำให้เสริมสุขกล้าแตกหักกับเป็บซี่ก็คือ สัดส่วนการขายแบบขวดแก้วคิดเป็นถึง 70% ของยอดขายน้ำดำ เลยทำให้เสริมสุขมั่นใจว่าจะมาแชร์ส่วนแบ่งตลาดได้เหมือนกับว่า ขายน้อยแต่กำไรมากดีกว่าขายมากำไรน้อยแถมต้องเป็นขี้ข้าฝรั่งตลอดชาติ (กำไรของน้ำดำสูงมากแต่ถ้าขายเป็บซี่กำไรจะต้องนำมาจ่ายค่าหัวเชื้อฝรั่งเก็บชิ้นปลามันไป สู้ผลิตเองไม่ต้องจ่ายค่าหัวเชื้อและค่าแบรนด์ดีกว่า) แต่สำหรับตลาดแบบดั่งเดิมและร้านอาหารตามสั่งแล้วแบบขวดทรงอิทธิพลกว่าเยอะมากๆ ก็คงต้องรออีกสามถึงหกเดือนค่อยมาดูกันว่าตัวเลข ของ เอส จะเป็นเท่าใด แล้วตัวเลขของเป็บซี่ตกลงเท่าใด ซึ่งแน่นอนว่ายอดต้องตกลงจนทางค่ายโค้ก กับ ค่ายเอเจ นอนยิ้มรับส้มที่จะหล่นจากต้นมาแบบไม่ต้องออกแรงเขย่าเลย
............ว่าจะจบบทความนี้พอดีเหลือบไปเห็นข่าวเล็กข่าวหนึ่งว่า “เอส” ฉลอง 5 วันทะลุ ล้านลังซึ่งเป็นตลาดดั่งเดิมและร้านอาหารตามสั่ง หลังจากเปิดตัวแบบขวดแก้วเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2555 และ เปิดตัวในโมเดินเทรดวันที่ 12 พฤศจิกายน 2555 แล้วผู้บริหารของเป็บซี่โคให้ข่าวว่าจากการสำรวจพบว่า เป็บซี่เป็นแบรนด์ที่มีคนไทยรักถึง 73% และมั่นใจว่าจะครองส่วนแบ่งตลาดได้ถึง 50% ฝันไปเถอะเพราะว่าถึงแม้จะรักอย่างไรแต่ถ้าร้านนั้นไม่มีขายละโยมเค้าก็สั่ง “เอส” ไปกินดิครับ
อ้อ........อีกเรื่องหนึ่งเป็บซี่ถึงกับลงทุนซื้อโฆษณาในไทยรัฐถึงครึ่งหน้าเพื่อแจ้งว่า เป็บซี่ยังมีจำหน่ายเหมือนเดิม ที่ต้องโฆษณาอย่างนี้คิดง่ายๆก็คือเพราะว่า ผู้บริโภคมีความรู้สึกว่า “เป็บซี่ ไม่มีขายแล้ว “ นั่นเอง เพราะว่าวันนี้ร้านค้าใดจะขายเป็บซี่ต้องโทรไปสั่งที่เอเยนต์ที่อยู่ในเขตของตนเอง เรียกว่าอยากขายต้องติดต่อมาซิแล้วเราจะไปส่งให้ มันจะสู้กับมีคนคอยตรวจว่าของจะหมดหรือยังอาทิตย์ละสองครั้งปริมาณมากน้อยก็จัดการให้เรียบร้อยโรงเรียนเสริมสุข จากนี้ไปเราคงต้องคอยดูว่า “อะไรจะเกิดขึ้น??” เอส จะแย่งส่วนแบ่งตลาดมาได้มากน้อยแค่ไหน และอะไรสำคัญกว่าระหว่าง “แบรนด์” กับ “การกระจายสินค้า และ ช่องทางการจัดจำหน่าย” และ “ขวดแก้ว กับ ขวดพลาสติก อะไรจะมีอิทธิพลต่อคนไทยมากกว่ากัน” แต่ที่แน่ๆ งานนี้สะใจคนไทยอย่างผมเพราะว่าไม่ต้องเป็นขี้ข้าฝรัง และประกาศจุดยืนที่ชัดเจน เลยต้องออก “ชาเขียวโออิชิ” มากกระตุกเงินในกระเป๋าเราอีก “เจ๊ กระเพาไก่ กับ โออิชิ “ 5555 ในที่สุดก็เสร็จเสี่ยเจริญเรียบร้อย โรงเรียนไทยเบฟไปอีกราย @@@@@@@@@@