วันจันทร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2555

“เพิ่มมูลค่า VALUE ADD “

                     บทความนี้เขียนขึ้นหลังจากผ่านพ้นวันสิ้นโลก 21.12.2012 ไม่รู้ใครคิดหรือเป็นคนจุดกระแสวันสิ้นโลกขึ้นมาในโลกนี้ และก็มีคนเชื่อ(อย่างงมงาย)เป็นจำนวนไม่น้อยทีเดียว แต่ก็ดีที่ทำให้เรารู้จักชนเผ่ามายาขึ้นมาซึ่งเดิมเราไม่รู้มาก่อนเลยว่าเขาอยู่ตรงไหนมีความเป็นมาอย่างไร แต่ที่เห็นว่าไอ้วันสิ้นโลกนี้มีประโยชน์ก็คงที่ฉวยเอาวิกฤติ(ซึ่งจริงๆคงไม่ใช่วิกฤติ) มาเป็นโอกาสไม่ว่าจะเป็นภาพยนต์ที่อิงวันสิ้นโลก แต่ดันมาฉายช่วงวันสิ้นโลกและถ้สิ้นโลกจริงมันคงเจ๊งแน่ๆ สถานที่ต่างๆที่จัดกิจกรรมวันสิ้นโลกไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยวที่อิงกับความเชื่อทางชนเผ่าต่างๆ เห็นข่าวว่ามีร้านอาหารที่ต่างประเทศแห่งหนึ่งจัดเมนูรับวันสิ้นโลกในราคาแพงมากๆและบอกว่าถ้าโลกไม่สิ้นจะคืนเงินให้ครึ่งหนึ่ง เล่นกะใครไม่เล่นมาเล่นกับนักการตลาดหัวใสเพราะพี่แกเล่นบวกค่าอาหารให้แพงซะงั้น เพราะรู้อยู่แล้ววว่ายังไงโลกก็ไม่สิ้นและต้องคืนเงินให้ครึ่งหนึ่งไม่รู้ว่าฟาดกำไรไปเท่าไหร่ เพราะคนจองจนเต็มร้านเพียบแบบจัดหนักเลยครับ


                      เราเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า “มูลค่าเพิ่ม” ซึ่งจริงๆแล้วมันก็เป็นสิ่งที่นักการตลาดใส่งลงไปในสินค้า และ บริการ ซึ่งบางครั้งไม่ได้ใส่จริงๆแต่เป็นการเอาปรากฏการณ์ หรือ เหตุการณ์ หรือ ความมีจำกัดมาเป็น “มูลค่าเพิ่ม” เช่นเหตุการณ์วันสิ้นโลก หรือ การจัดทำสินค้ารุ่นลิมิเต็ม แล้วอย่างไรจึงจะเพิ่มแล้วโดนใจคนละครับ อันนี้ก็ต้องพึ่งงานวิจัยว่าจริงๆแล้วผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายของเรานั้นต้องการสิ้นค้า และ บริการให้มีรูปลักษณ์ และ คุณสมบัติ หรือบริการอย่างไรแล้วเรามานำเสนอให้ตรงกับควาต้องการนั้นเสีย อันนี้พูดนะง่ายแต่ทำยากมากๆแต่ก็ไม่เหนือบ่ากว่าแรงเพราะเรามีเครื่องมือ ที่เรียกว่า”การวิจัย”มาคอยตอบคำถามนี้อยู่ และที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ “เซนส์ SENSE “ ของทีมงานด้วยในการแปลผลงานวิจัย หรือจินตนาการ(โดยมีงานวิจัยอ้างอิง) มาเป็น ส่วนเพิมในสินค้าหรือบริการนั้น เพราะต้องเข้าใจว่าจิตใจมนุษย์นั้นยากแท้หยั่งถึงเลยต้องอาศัยประสบการณ์และจินตนาการของทีมงานการตลาดด้วยเป็นสำคัญอีกข้อหนึ่ง

                ช่วงวันรัฐธรรมนูญที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสไปพักผ่อนที่สิงคโปรอีกครั้งหนึ่ง ก็มีคนถามว่าไม่เบื่อเหรอไปสิงคโปร์จริงๆแล้วก็เบื่อเหมือนกันเพราะไปมาหลายครั้ง แต่ก็อยากเห็นว่าเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรในช่วง 2-3 ปี เพราะอย่าลืมว่าสิงค์โปรเป็นเกาะเล็กๆที่ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติ และ ปัจจัยแรงงานในการผลิต แต่ GDP ของประชากรสิงค์โปรสูงที่สุดในอาเซียนและสูงในลำดับต้นๆของโลก แน่นอนว่าอุตสาหกรรมหนึ่งที่ทำเงินให้สิงค์โปรก็คือการท่องเที่ยว ผมเคยไปสิงค์โปรครั้งแรกเมื่อ 30 ปีก่อนทัวร์พาไปดูการกรีดยาง ทั้งๆที่ทั้งเกาะไม่มีสวนยาง (แบบที่เป็นธุรกิจ)เลย 5555

                  ไปแต่ละครั้งก็เห็นความเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นเซนโตซ่าซึ่งเมื่อก่อนไม่มีอะไรเลยตอนปี 2010 ไปก็มียูนิเวอร์แซลสตูดิโอ ฯลฯ อีกมากมาย มีมารีนาเบย์ซึ่งเป็นศูนย์รวมความบันเทิงและคาสิโนพร้อมกับโรงแรมที่หลายคนอยากไปพัก แต่ขอบอกว่าไปครั้งเดียวก็พอ (หาอ่านได้จากบทความเก่าของผมว่าทำไม) และมี SINGAPORE FLYER มันก็คือชิงช้าสวรรค์เหมือนบ้านเราแต่มันใหญ่โตมโหราฬเท่านั้นเอง สิ่งต่างๆเหล่านี้คือสิ่งที่สิงค์โปร์ใส่ไปเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของเขา แถมยังมีบริการพิเศษเพราะว่าถ้า

             Singapore flight 33 เหรียญ ประมาณ 825 บาท

            Singapore sling flight คือมีเครื่องดื่มเข้ามา คิด 69 เหรียญ ประมาณ 1,725 บาท

            Dinner flight รวมอาหารเย็นพร้อมพนักงานส่วนตัวคิด คู่ละ 269 เหรียญ ก็คนละ 3,360 บาท

และแน่นอน ยังมีบริการอื่นๆอื่นที่เสริมเข้าไปจากการขึ้นไปชมวิวเฉยๆ ไม่ว่าจะเป็นช่วงคริสมาส ปีใหม่ COUNT DOWN ที่จะได้รับประสบการณ์ในการชม พลุ แบบสูงเสียฟ้าท้ามฤตยูอะไรปานนั้นนั่นเอง

                  นอกจากนี้แล้วยังเปิดให้บริษัทต่างๆไปเช่าจัดงานอีเวนต์ได้อีกเรียกว่าใช้ชิงช้าสวรรค์ซะให้คุ้มค่าทั้งเจ้าของกิจการและผู้ใช้บริการได้เลือกหาตามกำลังทรัพย์ และ ตามกำลังจิตใจที่จะแสวงหาประสบการณ์ใหม่ๆ ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่สิงค์โปรสอนคนของเขาให้คิดและมีจิตสำนึกว่า ประเทศตนเองจะสร้างมูลค่าเพิ่มและอยู่รอดได้อย่างไรในอนาคตข้างหน้าเพราะว่าประเทศตนเองขาดทรัพยากรธรรมชาติและแรงงานการผลิต

                      เหมือนกับฟุตบอลและกีฬาต่าๆเราคงไม่แปลกใจที่สิงค์โปรได้แชมป์ ได้เหรียญมากกว่าแต่ก่อนนี่ก็เพิ่งมาได้แชมป์ AFF SUZUKI 2012 ฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียนเป็นสมัยที่ 4 เพราะพี่แกเล่นมีนักเตะแปลงสัญชาติซะ 7 คน (แต่จะภูมิใจหรือเปล่าเป็นอีกเรื่องหนึ่ง...........น่าคิดเหมือนกัน)
                     มีคนเล่าต่อกันมาว่าตอนไอโฟนออกรุ่นใหม่ ไอโฟน 5 เด็กสิงคโปร์สุมหัวกันว่าจะเขียนแอพมาขายในไอโฟน ส่วนเด็กไต้หวันสุมหัวกันจะหาอะไหร่ อุปกรณ์เสริมมาขายทำเงิน ส่วนเด็กไทยสุมหัวกันหารือว่าจะโกหกแม่เอาตังไปถอยไอโฟน 5 อย่างไรดี........อนิจจังประเทศไทย.......เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้...............@@@@

ขายรัย...ทำไมเราอิน (มาก)

                                                   เครดิตภาพจาก "เฟสบุคไทรสุก"           สองอาทิตย์ก่อนไปเห็นน้องคนหนึ่งที่เป็...