วันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2556

“โอกินาว่า......น่าไปมั๊ย ?? “

“โอกินาว่า......น่าไปมั๊ย ?? “
ช่วงนี้เดินทางไปเที่ยวบ่อยๆปีนี้ก็ 3 เที่ยวแล้ว สงสัยจะเป็นเพราะว่าเจอเพื่อนๆ พี่ๆ ที่ต้องประสบเหตุไม่ว่าจะโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ โดยเฉพาะโรคหมาหมู่อันประกอบไปด้วย ความดัน คลอเรสเตอรอล เบาหวาน และเส้นเลือดในสมองแตก แถมพี่ๆเพื่อนๆก็ต้องมาจากไปหลายคน ด้วยความกลัวว่าจะไม่ได้ใช้สตางค์ที่สะสมมาตั้งแต่เยาว์วัย (เลยพอประมาณวัยได้เลยชิมิ) ก็เลยจัดทริปแบบจัดเต็มซะ 3 ทริป (เฉพาะไปพักผ่อนในปี 2556 นี้ ) หากท่านผู้อ่านท่านใดจะทำตามก็ไม่ขัดข้องนะครับไม่ว่าจะเดินทางหาประสบการณ์ในสถานที่ต่างๆทั้งในและต่างประเทศ อย่ามาอ้างว่าไม่มีเวลาเลยครับโดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านที่ สว. ตั้งแต่ครึ่งศตวรรษเป็นต้นไป เดี๋ยวตอนมีเวลามากๆแล้วจะไม่สามารถไปได้ก็จะมานั่งเสียดายโอกาสปล่าวๆ ที่สำคัญไปกว่านั้นกลัวว่าจะอยู่ไม่ทันเกษียนนะครับพี่น้อง
ปีนี้ไปญี่ปุ่นสองครั้งครั้งแรกฮอกไกโด มาคราวนี้ไปโอกินาว่าก็เลยจั่วหัวไว้ว่า “โอกินาว่า...น่าไปมั๊ย ?? “ ไปทริปนี้เลือกไปให้ตรงกับเทศกาลชักคะเย่อยักษ์ ของเมืองนาฮาครั้งที่ 43 โดยเครื่องบินเช่าหมาลำจากการบินไทย ปรากฏว่าคนไทยเต็มลำทั้งขาไปและขากลับไม่รู้ว่าได้อานิสงค์ของการที่ไม่ต้องทำวีซ่าหรือไม่ ? พอลงถึงสนามบินซึ่งขอบอกว่า “เล็กม๊วกกกก” ประมาณเกือบเท่าขอนแก่น แต่สิ่งที่ประทับใจก็คือมีป้ายต้องรับเป็นภาษาไทยว่า “ยินดีต้อนรับสู่โอกินาวา” แถมมีนางงามหน้าตาจิ้มลิ้มยืนประกบป้ายดังกล่าว ที่ทราบก็เพราะว่าเธอมีป้ายเฉียงๆติดอยู่ สอบถามไกด์ก็ได้ความว่าเป็นนางงามประมาณนางนพมาศสุโขทัยนะครับ

ได้ใจหมู่มวลนักท่องเที่ยวชาวไทยไปไม่น้อย หลังจากไปเที่ยวตอนเย็นกลับเข้าที่พักก็ได้ป้ายอันเดิมนี่แหละครับ มาปักต้อนรับเราที่โรงแรมอีก แม้เป็นเรื่องเล็กๆน้อยแต่ก็ทำให้คนไทยปลี้มเปรียบเสมือนคนโอกินาว่าให้ความสำคัญกับคนไทย สิบกว่าปีก่อนใครเดินทางไปญี่ปุ่นจะประสบปัญหาอย่างมากที่ป้ายสาธารณะ และแผนที่ หรือเอกสารการท่องเที่ยวมีแต่ภาษาท้องถิ่น แต่ปัจจุบันนี้มีทั้งภาษาอังกฤษ ภาษาจีน บางสถานที่มีภาษาเกาหลี และภาษาไทยอีกด้วย การท่องเที่ยวของเขาทำงานแบบเข้าใจความรู้สึกของนักท่องเที่ยวเป็นอย่างดี ยิ่งหลังจากโรงไฟฟ้าปรมาณูระเบิด และภาวะเศรษฐกิจมีปัญหาทั่วโลกสินค้าญี่ปุ่นทั้งที่ผลิตในญี่ปุ่น หรือมีฐานการผลิตในประเทศต่างๆก็ขายได้น้อยลง หนทางที่จะหารายได้เข้าประเทศ ญี่ปุ่นจึงต้องส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้ต้องปรับตัวและเปลี่ยนแปลงแม้กระทั่งยกเลิกวีซ่าให้กับหลายประเทศรวมทั้งประเทศไทยแลนด์แดนสยามของเราด้วย
แล้วสถานที่ท่องเที่ยวละครับมีอะไรน่าสนใจหรือไม่ ?? ถ้าให้ตอบแบบ “บ่องตง” ก็ขอบอกว่า “งั้นๆ” เพราะแม้แต่เทศกาลชักคะเย่อยักษ์ซึ่งจัดมาถึง 43 ปี ก็เป็นเพียงแค่ว่ามีเชือกยักษ์แบบมันใหญ่มาก และมีสาขาของเชือกยักษ์นั้นออกมาเป็นแขนงๆ แล้วก็ให้นักท่องเที่ยวทั้งหลายช่วยกันลาก / ดึง ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีก็จบ แต่สามารถดึงคนหลายหมื่นคนให้ไปร่วมได้ทั้งนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นและต่างชาติก็ตื่นตาตื่นใจ เพราะว่า “มันแปลก ก็แค่นั้นเอง” อ้อ...แล้วพอจบการชักคะเย่อก็อนุญาติให้ตัดเชือกที่เป็นเส้นแขนง เอาไปเป็นเครื่องลางของขลังได้อีกโดยไม่มีการปลุกเศกแต่
อย่างใด (ไม่เชื่ออย่าลบหลู่) แต่ไอ้ความแปลกนี่แหละที่มันทำให้คนอยากมาดู ก็เรียกได้ว่าต้องคิดหากิจกรรมแปลกๆมาเพื่อเป็นสิ่งเร้าให้คนมาดู แต่เขาทำมาตั้งแต่ 43 ปีที่แล้วนี่ซิมันแปลกกว่าเพราะว่ามันเป็นกิจกรรมเรียกแขกได้นั่นเอง ได้ทราบข่าวมาว่าทางจังหวัดเพชรบุรีได้จัดเทศกาลไม่แน่ใจว่าชื่ออะไร เอาเกลือมาปั้นให้เป็นรูปต่างๆ แล้วประกวดกัน (คงแปลงมาจาก ปั้นหิมะของฮอกไกโดที่จัดมา 63 ปีแล้ว) ผมเห็นว่าน่าส่งเสริมไม่น้อยแต่อาจจะขาดซึ่งทีมงานมืออาชีพ ที่จะมาโปรโมทเทศกาลนี้แต่ก็ขอเป็นกำลังใจให้ทีมงานของจังหวัดเพชรบุรี “สู้ๆครับ”
อีกสิ่งหนึ่งที่น่าทึ่งสำหรับทริปญี่ปุ่นครั้งนี้ก็คือ “มันสีม่วง” ซึ่งก็ไม่แปลก เพราะมันก็ก็คือมันที่มีสี่ม่วง แต่ญี่ปุ่นเอามาทำให้เป็นสินค้าของเกาะได้เพราะเมื่อนึกถึงโอกินาว่าคนจะนึกถึง “มันสีม่วง” เพราะเธอเอามาทำสารพัดทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นขนมที่มีส่วนผสมของมันสีม่วงนี้ให้เปรียบเสมือนหนึ่งเป็นสินค้าของเกาะแบบสุดซอยไปเลย แม้แต่คิดแคท หรือ กูลิโกะ ก็เอามันสีม่วงนี้มาเป็นส่วนผสมด้วย เรียกได้ว่าทั้งเกาะเขาเล่นเป็นเรื่องเดียวกันนั่นเอง ก็เลยมานึกได้ว่า โอท๊อป ของไทยแม้จะมีพัฒนาการมาไม่น้อยแต่ก็อีกไม่น้อยที่ซะเปะซะปะไม่ได้แจ้งเกิดเสียที ผมเองก็ไปบรรยายมาไม่น้อยให้โอท๊อปเรียกได้ว่ามีหลายหน่วยงานมากที่จัดบรรยายฟรีให้โอท๊อป แต่ขาดการต่อยอดก็เลยคิดว่าน่าจะถึงเวลาหรือไม่ ที่ทางภาครัฐอาจจะจัดทีมมืออาชีพจากภาคเอกชนไปโปรโมทสินค้า หรือ สร้างแบรนด์ประจำจังหวัดแล้วให้โอท๊อป ใช้แบรนด์เดียวกัน พูดไปในทิศทางเดียวกัน มีกิจกรรมของจังหวัดที่เรียกได้ว่า ไม่ไปไม่ได้ ปีละ 2-3 งาน ก็จะทำให้เกิดการหมุนเวียนของเศรษฐกิจ และสามารถขายสินค้าได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่ให้โอท๊อปรอจัดงานที่เมืองทองปีละ 2 ครั้งๆละไม่กีวัน
ก็ฝากประเด็นเหล่านี้ไว้ให้ขบคิดกันเล่น เพราะผมจะขอเตรียมตัวไป “คิวชู” ต่อครับผม @@@@@

ขายรัย...ทำไมเราอิน (มาก)

                                                   เครดิตภาพจาก "เฟสบุคไทรสุก"           สองอาทิตย์ก่อนไปเห็นน้องคนหนึ่งที่เป็...