ปีใหม่ผ่านไปด้วยความทุกข์ระทมทั้งของฝ่ายค้านอันรวมถึง
กปปส และรัฐบาล และที่ทุกข์ยิ่งกว่าก็คือประชาชน และ
ประชาธิปไตยที่ทั้งสองฝ่ายกล่าวอ้างทั้งทฤษฎีและภาคปฏิบัติ
ที่มีนักวิชาการทั้งทางรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์หนุนหลังทั้งสองฝ่าย จนฝ่ายประชาชนก็รู้สึกงงกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมไทย
โดยเฉพาะสังคมข่าวสารออนไลน์และโลกของโซเชียลมีเดีย ซึ่งผมเคยเขียนเตือนไว้ตั้งแต่เดือน กันยายน2556เป็นต้นมา
และก็เป็นจริงดังว่าในที่สุดคนไทยก็เกลียดกันจริงๆฆ่ากันได้จริงเพราะความเห็นต่างกันทางการเมือง นักการเมือง(ทั้งสองฝ่าย) ที่เคารพสิ่งที่ท่านคาดหวังว่าจะทำให้คนไทยเกลียดกันเพราะความคิดเห็นทางการเมืองจนสามารถฆ่ากันได้นันเป็นจริงแล้วครับ
มันน่าเศร้าที่ในปีที่ผ่านมาและปีนี้
(2557) น่าจะเป็นปีที่เราสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจได้อย่างเป็นมรรคผล เพราะว่า
จีนกับญี่ปุ่นมีปัญหากันในการอ้างสิทธิเกาะเล็กแห่งหนึ่ง จนทำให้ภาคเศรษฐกิจของญี่ปุ่นต้องทบทวน
(ซึ่งแปลว่า หาทางเปลี่ยนนั่นเอง)
การลงทุนในจีน
ซึ่งไทยเราน่าจะได้รับโอกาสอันนี้เพราะว่าเรามีพื้นฐานที่ดีเหมาะกับการลงทุน
และญี่ปุ่นลงทุนในไทยมานานมากแล้วความสัมพันธ์ก็ดีมากๆ แต่เหตุการณ์ทางการเมืองกลับทำให้เราเสียโอกาสนั้นไป
เพราะนอกจากจะไม่ย้ายการผลิตจากจีนมาไทยแล้วยังอาจจะย้ายการผลิตหรือแผนเดิมที่จะลงทุนในไทยย้ายไปประเทศอื่นเสียอีก โอกาสที่หลุดลอยไป 1
@@@@@@
สถานการณ์ทางการเมืองในบังคลาเทศคล้ายสถานการณ์ในบ้านเราในปัจจุบันมาก เพียงแต่ว่ามันรุนแรงและมีคนตาย(หลายคนมาก) พรรครัฐบาลต้องการเลือกตั้งแต่ฝ่ายค้านขัดขวางการเลือกตั้ง จนมีการยกพวกและเข่นฆ่ากันตายไปหลายศพ ผมมีลูกค้าอยู่ที่บังคลาเทศเล่าให้ฟังว่ามีการปิดประเทศถนนหนทางไปมาหาสู่และค้าขายกันไม่ได้ มาเป็นเวลาหลายเดือนจนลูกค้าไม่สามารถส่งสินค้าออกไปต่างประเทศได้
ท่านที่ไม่ได้อยู่ในธุรกิจสิ่งทอก็คงไม่ทราบว่า
บังคลาเทศเป็นประเทศที่ส่งออกสิ่งทอในตลาดโลกเป็นอันดับสองรองจากประเทศจีน
อันเป็นผลมาจากค่าแรงงานที่ถูกมากแถมมีฝีมือและยังได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีต่างๆอีกด้วย ประกอบกับมีเหตุการณ์ตึกโรงงานสิ่งทอถล่มในบังคลาเทศมีคนงานล้มตายไปเห็นหลักร้อย นอกจากนี้แล้วมีการประท้วงและสลายการชุมนุมของโรงงานสิ่งทอในเขมร ทำให้คู่ค้าซึ่งส่วนใหญ่เป็นสหรัฐอเมริกา และ
อียู
ต้องปรับเปลี่ยนออเดอร์ไปยังประเทศอื่นๆเพราะโอกาสที่จะได้รับสินค้าทันเวลาที่ต้องการมีความเสี่ยงสูง (ถึงแม้จะมีราคาทีถูกกว่าก็ตาม)
โอกาสนี้น่าจะมาที่เมืองไทยเพราะเรามีชื่อเสียงทางสิ่งทอในระดับต้นๆของโลก แต่เหตุการณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น
แรกๆออเดอร์ก็มาบ้านเราพอสมควรจนเหตุการณ์ยืดเยื้อจากเดือนพฤศจิกายน 2556
เป็นต้นมา ทำให้ออเดอร์ในไตรมาสแรกของปี2557
เริ่มหายไปพอสมควร โอกาสที่หลุดลอยไป 2 @@@@@
อุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่นับวันจะมีความสำคัญเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ เดิมทีตั้งเป้าไว้ว่านาจะมีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวเมืองไทย 28 ล้านคน
โดย 9
เดือนแรกก็เป็นไปตามเป้าหมายและเชื่อได้ว่าคงบรรลุเป้าหมายและสร้างประวัติศาสตร์ให้กับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว แต่พอเหตุการณ์แตกแยกในสังคมไทยทำให้นักท่องเที่ยวหนีไปเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักท่องเที่ยวชาวจีนเพราะถึงแม้ว่าจะมีคนจีนมาเที่ยวไทยเพิ่มจาก
2.78 ล้านคนในปี 2555 เป็น 4.70
ล้านคนในปี 2556 เพิ่มถึง 68
เปอร์เซนต์ก็ตาม
อันเป็นผลมาจากภาพยนต์เรื่อง LOST IN
THAILAND และเศรษฐกิจในประเทศจีนทำให้คนมีเงินจับจ่ายใช้สอยเพิ่มมากขึ้นจนสามารถเป็นนักท่องเที่ยวคุณภาพ(มากขึ้นกว่าเดิม) ที่หลายประเทศตั้งให้เป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มเป้าหมายที่จะต้องไปชักจูงมาท่องเที่ยวยังประเทศของตน
และช่วงนี้ตรงกับเทศกาลตรุษจีนที่นับว่าเป็นโอกาสทองของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย แต่.........ปรากฏว่ามีเที่ยวบินยกเลิกในช่วง
มกราคม-มีนาคม 2557 เช่น สิงค์โปรแอร์ไลน์
19 เที่ยวบิน อ่องกงแอร์ไลน์ 20
เที่ยวบิน คาเธย์แปซิฟิก 16 เที่ยวบิน
ไชน่าแอร์ 19 เที่ยวบิน ฯลฯ รวมแล้ววันหนึ่งๆน่าจะมีนักท่องเที่ยวหายไป 5,000 -20,000 คน
จากสถิติของผู้โดยสารที่มาใช้บริการของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
..................สมมุติว่านักท่องเที่ยวหายไป 5
ล้านคนต่อปี ใช้เงินคนละ 5,000 บาทต่อวัน เฉลี่ยอยู่คนละ
4 วัน (สถิติของกรมการท่องเที่ยว) ก็เท่ากับคนละ
20,000 บาท เท่ากับเป็นเงิน 100,000,0000 (หนึ่งแสนล้านบาทนะครับ) แล้วเงินนี้มันหมุน 4 รอบนะครับตามหลักการ ก็จะเท่ากับเงิน 4 แสนล้านบาทครับพี่น้อง โอกาสที่หลุดลอยไป
3 @@@@@
ผมไม่โทษว่าเป็นความผิดของใครเพราะมันขึ้นอยู่กับมุมมอง แต่นักคู่ค้าของคนไทย คู่ค้าของประเทศไทย นักท่องเที่ยวที่จะมาเที่ยวเมืองไทย .............ไม่ผิดแน่อน......ก็เหมือนกับก๊าซโซฮลล์ไม่ผิด..........
เพียงแต่บ่นให้ฟังว่า.....”โอกาส โอกาส ...........ที่หลุดลอยไปกับอากาศ” เท่านั้น @@ จิงๆๆๆ