วันอังคารที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557

“ญี่ปุ่นอีกสักครั้ง”



ญี่ปุ่นอีกสักครั้ง




                ชีวิตต้องก้าวเดิน  หรือ ถ้าภาษาฝรั่งเค้าบอกว่า “LIFE MUST GO ON “  ก็คงคำที่จะใช้คอยปลอบใจเวลาที่มีอุปสรรคต่างๆเข้ามาในชีวิต  ในธุรกิจ  เพราะชีวิตต้องก้าวต่อไปไม่ว่าจะดีหรือร้ายตราบใดที่ลมหายใจยังมีอยู่หรือธุรกิจยังคงดำรงอยู่   แต่หากชีวิตดับสูญหรือธุรกิจล้มละลายทุกสิ่งทุกอย่างก็หยุดยกเว้นหนี้ที่ต้องสะสางจากธุรกิจ   รู้สึกหดหู่ยังไงก็ไม่รู้ที่เกริ่นนำข้อเขียนในวันนี้เพราะว่าตลอดเวลาเกือบ 1 ปี ที่ผ่านมาสถานการณ์บ้านเมืองมีแต่ความแตกแยก  แย่งชิงอำนาจ  และในที่สุดก็เกิดรัฐประหารจนได้หมือกับที่หลายคนคาดว่าไม่น่าเกิด  หลายคนอยากให้เกิด  และหลายคนต่อต้านการเกิดรัฐประหาร   แต่ชีวิตต้องก้าวเดินครับพี่น้องจนคุณ หนุ่มเมืองจันทร์  เคยเขียนไว้ว่าปัญหามีสองประเภทคือแบบที่แก้ได้ (ก็แก้ปัญหานั้นเสีย)  แบบที่แก้ไม่ได้ (ก็ไม่ต้องแก้  คิดได้เมื่อใดค่อยแก้)  แค่นี้ทุกข์ก็จะไม่อยู่กับเราแล้วผมเลยหนีไปญี่ปุ่นอีกครั้งเป็นครั้งที่ 3 ในรอบสองปี  หรืออาจจะมีครั้งที่สี่ปีนี้อีกก็ไม่รู้
                บางคนเคยกล่าวไว้ว่า ญี่ปุ่น ไปเที่ยวได้ทุกเมือง  ถ้ามองในมุมที่ว่าทุกเมืองมันเป็นของใหม่สำหรับคนไทยอันนี้ก็เห็นด้วย เพราะมันแปลกใหม่มีอะไรให้น่าศึกษาเยี่ยมชม   แต่ถ้าบอกว่าแต่ละเมืองมันสุดๆไม่ไปจะตายมั๊ยก็ขอบอกว่าไม่ครับ  (นี่มองในฐานะคนที่เดินทางเป็นอาจินนะครับ )  แต่สิ่งหนึ่งที่ญี่ปุ่นมีคือการรักษา  และพัฒนาอย่างยั่งยืนเพื่อนำสิ่งนั้นๆมาเป็นจุดขายของแต่ละเมืองแต่ละจังหวัด  เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในประเทศกันเองซึ่งมีประชากรมากกว่าเรา 1 เท่าตัวคือ 127 ล้านคน  และนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยเฉพาะการงดเว้นวีซ่าให้ไทย และอีกหลายๆประเทศ   ทำให้มีนักท่องเที่ยวไปเที่ยวญี่ปุ่นกันอย่างล้นหลามผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น  ทั้งนี้เพราะด้วยเหตุผลหลายประการ   ค่าทัวร์ที่ราคาไม่แพงมากผมลองมาเทียบกับที่ผมไปญี่ปุ่นนานมากแล้วตั้งแต่สมัยลูกยังเรียนประถม   จำคร่าวๆได้ว่าตกประมาณ 40,000 บาท  20ปีผ่านไปค่าทัวร์ 50,000 กว่าบาท เรียกได้ว่าแทบไม่ขยับเลยแต่รายได้เรามากขึ้น  แม้แต่คนทำงานใหม่ก็สามารถไปเที่ยวได้เรียกว่าประมาณ 2-3 เท่าเงินเดือน (ประมาณเอาโบนัสไปเที่ยวได้)  แต่สมัยก่อน 10 กว่าเท่าเงินเดือนหรือเกือบทั้งปีเลยทำให้มีคนมีโอกาสไปญี่ปุ่นน้อยมากๆ     ทั้งนี้เพราะญี่ปุ่นเงินเฟ้อไม่มากเลยจิบๆดูง่ายแค่น้ำอัดลมเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้วกับ ตอนนี้ก็ประมาณนี้ราคาเรียกได้ว่าเป็นราคาเดียวกันเลย วนนี้น้ำอัดลม 1.5 ลิตร ประมาณ 45 บาทเท่านั้นเองไม่น่าเชื่อ ???? (ในห้างอีออน)
            เสื้อผ้า  แน่นอนทุกคนรู้จัก ยูนิโคล่  ก็ราคาสูสีกะบ้านเรา  แถมมีทุกยี่ห้อในโลกไม่ว่าจะเป็น ซ่าร่า  เอชแอนด์เอ็ม  จิออร์ดาโน่  ฯลฯ    เครื่องใช้ไม้สอยต่าง  ก็ราคาพอประมาณอาจจะแพงกว่าบ้านเราเล็กน้อย  แต่เมื่อเทียบกับรายได้แล้วทำให้เขาอยู่ได้อย่างสบายๆ      นั่นเป็นเรื่องของสินค้าเพื่อความเป็นอยู่หรือสินค้าเพื่อบริโภค 
..................แต่...แต่....หากเป็นสินค้าบริการแล้วละก็หนังคนละม้วนเลยครับ   ไม่ว่าจะเป็นค่าตัดผม  ค่านวด(อโรมา)   ค่าสนามกอล์ฟ ฯลฯ  แพงจนจับไม่ลงจนเราเห็นคนญี่ปุ่นหอบหิ้วถุงกอล์ฟมาตีในบ้านเรา  ในอินโดนีเซีย ฯลฯ  ค่าเครื่องบิน  ค่าโรงแรม และ อื่นๆ  รวมแล้วพอๆกับตีในบ้านเขาเลยครับในกรณ๊ที่ตีประมาณ 3 วันนะครับ
                สิ่งที่เห็นและน่าจดจำในญี่ปุ่นและเป็นวัฒนธรรมที่งดงามคือ   วินัย  วินัย  1989 ผมไปญี่ปุ่นครั้งแรกห้าทุ่มกว่าๆเดินขึ้นจากสถานีรถไฟจะข้ามถนนแคบๆ   ไม่มีรถทั้งซ้ายขวาหน้าหลังแต่ว่าไฟคนเดินข้ามเป็นไฟแดง    มีคนญี่ปุ่นยืนรอไฟแดงไม่ยอมข้ามพี่ไทยอย่างผมก็เลยต้องรอกลัวเค้าถามว่าคุณมาจากไหนนะครับ   25 ปี่ผ่านไป   เช้าวันหนึ่งลองเดินสำรวจตลาดรอบเช้าประมาณ 7 โมงกว่าได้เดินไปสี่แยกเหตุการณ์เดียวเกิดขึ้นเลยครับ   สี่แยกทุกด้านไม่มีรถซักคันแต่นักเรียนญี่ปุ่นจอดจักรยานเพื่อรอข้ามถนนครับ  คนหนุ่มสาวยืนรอไม่มีแหกกฎครับ  ไม่เชื่อดูรูปได้ครับเดี๋ยวจะหาว่าโม้  อิอะ...........

                เข้าพักในเกือบทุกโรงแรมจะพบตะกร้าเล็กๆใส่ของกิน  อย่างละชิ้นสองชิ้นให้กินฟรีแต่......มีป้ายเขียนไว้ว่าหากอร่อย(คิดเอาเอง)  ซื้อหาได้ที่ร้านค้าซึ่งตั้งอยู่ในล้อบบี้ของโรงแรมที่โรงแรมสำหรับนักท่องเที่ยวอย่จะมีร้านค้าไม่ใช่แค่ 3คูณ3เมตรเล็กนะครับ   เรียกได้ขนาดร้านเซเว่านเลยที่ดียวมีทั้งของในท้องถิ่น  ของที่นำไปให้ชิมในห้องพัก  ของใช้เช่นสบู่  ที่ขัดเท้า ฯลฯที่ใช้ในที่อาบน้ำแบบญี่ปุ่นที่เรียกว่าออนเซน   และที่จับใจคนไทยคือมีมุม คิทแคทชาเขียว  เพราะรร.นี้ทัวร์ไทยไปกันเยอะมากไม่ต้องไปหาซื้อที่ไหนใน รร.นั่นแหลครับพร้อมกับตัวอัษรไทยบรรยายสรรพคุณ   อากงอามาเดินผ่านไม่รู้อะไรซื้อไปฝากลูกฝากหลานกันคนละกล่องใหญ่ๆเลยครับ  เห็นหรือยังครับว่าคนญี่ปุ่นนั้นเค้ามีจิตวิญญาณของนักการตลาด  นักขายอยูในสายเลือดตามปรัชญา ของฟรีไม่มีในโลก  (เพียงแต่ใครจ่าย  และจ่ายด้วยอะไร) 
            และไฮไลท์ของทริปญี่ปุ่นครั้งนี้ของผมคือ  แจแปนแอล์ป  คือภูเขานำเข็งที่อยู่ระหว่าถนนสวยงามจนลืมไม่ลง  ซึ่งจริงๆแล้วมันก็ไม่มีอะไรมากก็แค่หิมะตกทับถมกันสูงลิ่วถ้าไม่ตักออกมันก็คงเป็นแค่ภูเขาหิมะ   แต่พอตักออกตลอดแนวถนนทำให้เห็นเป็นกำแพงหิมะยาวสุดสายตาตลอดถนน  ซึ่งท่านคงหาดูได้จากนิตยสารต่างๆ.................แต่ที่ฝุดๆเห็นจะเป็นป้ายต้อนรับพี่ไทย  พี่จีน พี่เกาหลี  เป็นภาษาท้องของประเทศนั้นๆนี่ซิโดนเรย   เหมือนที่โอกินาวาลงจากเครื่องบินที่สนามบินมีป้ายต้อนรับคนไทย


                    กำลังจะจบบทความพอดีนึกถึงข่าวคนไทยแย่งบัตรชมภาพยนต์ฟรีมูลค่า 100 กว่าบาทแบบที่เรียกได้ว่าต้องแย่งให้ได้ไม่งั้นจะตายซะงั้น    ลองมาย้อนเทียบกับคนญี่ปุ่นขนาดโดนซีนามิลำบากยากเข็ญแต่ก็เข้าคิวเป็นระเบียบเรียบร้อยไม่ทุรนทุรายจะตายเหมือนขาดบัตรภาพยนต์ฟรี    นี่กระมังที่เรียกว่า รู้จักแต่สิทธิ์   ขาดความตระหนักในหน้าที่  และความมีวินัย       แต่อย่างไร ชีวิตก็ต้องก้าวเดินต่อไป  ...........................@@@

ขายรัย...ทำไมเราอิน (มาก)

                                                   เครดิตภาพจาก "เฟสบุคไทรสุก"           สองอาทิตย์ก่อนไปเห็นน้องคนหนึ่งที่เป็...