“ญี่ปุ่นอีกสักครั้ง”
ชีวิตต้องก้าวเดิน หรือ ถ้าภาษาฝรั่งเค้าบอกว่า “LIFE MUST
GO ON “ ก็คงคำที่จะใช้คอยปลอบใจเวลาที่มีอุปสรรคต่างๆเข้ามาในชีวิต ในธุรกิจ
เพราะชีวิตต้องก้าวต่อไปไม่ว่าจะดีหรือร้ายตราบใดที่ลมหายใจยังมีอยู่หรือธุรกิจยังคงดำรงอยู่ แต่หากชีวิตดับสูญหรือธุรกิจล้มละลายทุกสิ่งทุกอย่างก็หยุดยกเว้นหนี้ที่ต้องสะสางจากธุรกิจ รู้สึกหดหู่ยังไงก็ไม่รู้ที่เกริ่นนำข้อเขียนในวันนี้เพราะว่าตลอดเวลาเกือบ
1 ปี ที่ผ่านมาสถานการณ์บ้านเมืองมีแต่ความแตกแยก
แย่งชิงอำนาจ
และในที่สุดก็เกิดรัฐประหารจนได้หมือกับที่หลายคนคาดว่าไม่น่าเกิด หลายคนอยากให้เกิด และหลายคนต่อต้านการเกิดรัฐประหาร แต่ชีวิตต้องก้าวเดินครับพี่น้องจนคุณ “หนุ่มเมืองจันทร์” เคยเขียนไว้ว่าปัญหามีสองประเภทคือแบบที่แก้ได้
(ก็แก้ปัญหานั้นเสีย) แบบที่แก้ไม่ได้
(ก็ไม่ต้องแก้ คิดได้เมื่อใดค่อยแก้)
แค่นี้ทุกข์ก็จะไม่อยู่กับเราแล้วผมเลยหนีไปญี่ปุ่นอีกครั้งเป็นครั้งที่ 3
ในรอบสองปี
หรืออาจจะมีครั้งที่สี่ปีนี้อีกก็ไม่รู้
บางคนเคยกล่าวไว้ว่า “ญี่ปุ่น
ไปเที่ยวได้ทุกเมือง”
ถ้ามองในมุมที่ว่าทุกเมืองมันเป็นของใหม่สำหรับคนไทยอันนี้ก็เห็นด้วย
เพราะมันแปลกใหม่มีอะไรให้น่าศึกษาเยี่ยมชม
แต่ถ้าบอกว่าแต่ละเมืองมันสุดๆไม่ไปจะตายมั๊ยก็ขอบอกว่าไม่ครับ (นี่มองในฐานะคนที่เดินทางเป็นอาจินนะครับ
)
แต่สิ่งหนึ่งที่ญี่ปุ่นมีคือการรักษา
และพัฒนาอย่างยั่งยืนเพื่อนำสิ่งนั้นๆมาเป็นจุดขายของแต่ละเมืองแต่ละจังหวัด เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในประเทศกันเองซึ่งมีประชากรมากกว่าเรา
1 เท่าตัวคือ 127 ล้านคน
และนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยเฉพาะการงดเว้นวีซ่าให้ไทย และอีกหลายๆประเทศ
ทำให้มีนักท่องเที่ยวไปเที่ยวญี่ปุ่นกันอย่างล้นหลามผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ทั้งนี้เพราะด้วยเหตุผลหลายประการ ค่าทัวร์ที่ราคาไม่แพงมากผมลองมาเทียบกับที่ผมไปญี่ปุ่นนานมากแล้วตั้งแต่สมัยลูกยังเรียนประถม จำคร่าวๆได้ว่าตกประมาณ 40,000
บาท 20ปีผ่านไปค่าทัวร์ 50,000
กว่าบาท เรียกได้ว่าแทบไม่ขยับเลยแต่รายได้เรามากขึ้น
แม้แต่คนทำงานใหม่ก็สามารถไปเที่ยวได้เรียกว่าประมาณ 2-3 เท่าเงินเดือน (ประมาณเอาโบนัสไปเที่ยวได้) แต่สมัยก่อน 10
กว่าเท่าเงินเดือนหรือเกือบทั้งปีเลยทำให้มีคนมีโอกาสไปญี่ปุ่นน้อยมากๆ
ทั้งนี้เพราะญี่ปุ่นเงินเฟ้อไม่มากเลยจิบๆดูง่ายแค่น้ำอัดลมเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้วกับ
ตอนนี้ก็ประมาณนี้ราคาเรียกได้ว่าเป็นราคาเดียวกันเลย วนนี้น้ำอัดลม 1.5 ลิตร
ประมาณ 45 บาทเท่านั้นเองไม่น่าเชื่อ ???? (ในห้างอีออน)
เสื้อผ้า แน่นอนทุกคนรู้จัก ยูนิโคล่ ก็ราคาสูสีกะบ้านเรา แถมมีทุกยี่ห้อในโลกไม่ว่าจะเป็น ซ่าร่า เอชแอนด์เอ็ม
จิออร์ดาโน่ ฯลฯ เครื่องใช้ไม้สอยต่าง
ก็ราคาพอประมาณอาจจะแพงกว่าบ้านเราเล็กน้อย แต่เมื่อเทียบกับรายได้แล้วทำให้เขาอยู่ได้อย่างสบายๆ นั่นเป็นเรื่องของสินค้าเพื่อความเป็นอยู่หรือสินค้าเพื่อบริโภค
..................แต่...แต่....หากเป็นสินค้าบริการแล้วละก็หนังคนละม้วนเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นค่าตัดผม ค่านวด(อโรมา) ค่าสนามกอล์ฟ ฯลฯ
แพงจนจับไม่ลงจนเราเห็นคนญี่ปุ่นหอบหิ้วถุงกอล์ฟมาตีในบ้านเรา ในอินโดนีเซีย ฯลฯ ค่าเครื่องบิน
ค่าโรงแรม และ อื่นๆ
รวมแล้วพอๆกับตีในบ้านเขาเลยครับในกรณ๊ที่ตีประมาณ 3 วันนะครับ
สิ่งที่เห็นและน่าจดจำในญี่ปุ่นและเป็นวัฒนธรรมที่งดงามคือ “วินัย
วินัย”
1989 ผมไปญี่ปุ่นครั้งแรกห้าทุ่มกว่าๆเดินขึ้นจากสถานีรถไฟจะข้ามถนนแคบๆ
ไม่มีรถทั้งซ้ายขวาหน้าหลังแต่ว่าไฟคนเดินข้ามเป็นไฟแดง
มีคนญี่ปุ่นยืนรอไฟแดงไม่ยอมข้ามพี่ไทยอย่างผมก็เลยต้องรอกลัวเค้าถามว่าคุณมาจากไหนนะครับ 25 ปี่ผ่านไป เช้าวันหนึ่งลองเดินสำรวจตลาดรอบเช้าประมาณ 7
โมงกว่าได้เดินไปสี่แยกเหตุการณ์เดียวเกิดขึ้นเลยครับ
สี่แยกทุกด้านไม่มีรถซักคันแต่นักเรียนญี่ปุ่นจอดจักรยานเพื่อรอข้ามถนนครับ คนหนุ่มสาวยืนรอไม่มีแหกกฎครับ ไม่เชื่อดูรูปได้ครับเดี๋ยวจะหาว่าโม้ อิอะ...........
เข้าพักในเกือบทุกโรงแรมจะพบตะกร้าเล็กๆใส่ของกิน อย่างละชิ้นสองชิ้นให้กินฟรีแต่......มีป้ายเขียนไว้ว่าหากอร่อย(คิดเอาเอง)
ซื้อหาได้ที่ร้านค้าซึ่งตั้งอยู่ในล้อบบี้ของโรงแรมที่โรงแรมสำหรับนักท่องเที่ยวอย่จะมีร้านค้าไม่ใช่แค่
3คูณ3เมตรเล็กนะครับ เรียกได้ขนาดร้านเซเว่านเลยที่ดียวมีทั้งของในท้องถิ่น ของที่นำไปให้ชิมในห้องพัก ของใช้เช่นสบู่ ที่ขัดเท้า
ฯลฯที่ใช้ในที่อาบน้ำแบบญี่ปุ่นที่เรียกว่า”ออนเซน” และที่จับใจคนไทยคือมีมุม “คิทแคทชาเขียว”
เพราะรร.นี้ทัวร์ไทยไปกันเยอะมากไม่ต้องไปหาซื้อที่ไหนใน
รร.นั่นแหลครับพร้อมกับตัวอัษรไทยบรรยายสรรพคุณ
อากงอามาเดินผ่านไม่รู้อะไรซื้อไปฝากลูกฝากหลานกันคนละกล่องใหญ่ๆเลยครับ
เห็นหรือยังครับว่าคนญี่ปุ่นนั้นเค้ามีจิตวิญญาณของนักการตลาด นักขายอยูในสายเลือดตามปรัชญา “ของฟรีไม่มีในโลก” (เพียงแต่ใครจ่าย และจ่ายด้วยอะไร)
และไฮไลท์ของทริปญี่ปุ่นครั้งนี้ของผมคือ “แจแปนแอล์ป” คือภูเขานำเข็งที่อยู่ระหว่าถนนสวยงามจนลืมไม่ลง
ซึ่งจริงๆแล้วมันก็ไม่มีอะไรมากก็แค่หิมะตกทับถมกันสูงลิ่วถ้าไม่ตักออกมันก็คงเป็นแค่ภูเขาหิมะ
แต่พอตักออกตลอดแนวถนนทำให้เห็นเป็นกำแพงหิมะยาวสุดสายตาตลอดถนน
ซึ่งท่านคงหาดูได้จากนิตยสารต่างๆ.................แต่ที่ฝุดๆเห็นจะเป็นป้ายต้อนรับพี่ไทย พี่จีน พี่เกาหลี เป็นภาษาท้องของประเทศนั้นๆนี่ซิโดนเรย
เหมือนที่โอกินาวาลงจากเครื่องบินที่สนามบินมีป้ายต้อนรับคนไทย
กำลังจะจบบทความพอดีนึกถึงข่าวคนไทยแย่งบัตรชมภาพยนต์ฟรีมูลค่า 100
กว่าบาทแบบที่เรียกได้ว่าต้องแย่งให้ได้ไม่งั้นจะตายซะงั้น
ลองมาย้อนเทียบกับคนญี่ปุ่นขนาดโดนซีนามิลำบากยากเข็ญแต่ก็เข้าคิวเป็นระเบียบเรียบร้อยไม่ทุรนทุรายจะตายเหมือนขาดบัตรภาพยนต์ฟรี นี่กระมังที่เรียกว่า “รู้จักแต่สิทธิ์ ขาดความตระหนักในหน้าที่ และความมีวินัย” แต่อย่างไร “ชีวิตก็ต้องก้าวเดินต่อไป” ...........................@@@