และพัฒนาต่อมาเป็นห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ โดยผม(คิดเห็นส่วนตัว) มองว่าเริ่มมาตั้งแต่มีเซ็นทรัลลาดพร้าว ราวๆปี 2525
แค่ 30 ปีเศษนี้เองที่ทำให้พฤติกรรมคนในกทม.เปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่า 20-30 ปีที่ผ่านมาทุกสัปดาห์ก็ว่าได้อาจะไปที่ห้างเหล่านี้ไม่ว่าจะเซ็นทรัล โรบินสัน
เดอะมอลล์
พาต้า(ตอนนี้แย่แล้ว)
เปรียบเสมือนเหนึ่งเป็นที่พักผ่อนในวันหยุดเสาร์อาทิตย์ก็ว่าได้ แต่ประมาณปี 2540 เป็นต้นมา ก็ประมาณ 10-17
ปีที่ผ่านมารูปแบบของห้างเหล่านี้ก็พัฒนาไปอีกขั้น คือเป็นห้างขนาดเล็กลง พื่นที่ใช้สอยไม่มากเท่าห้างใหญ่ๆก่อนหน้า
มีรูปแบบและไลฟ์สไตล์ที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น ที่สำคัญอยู่ใกล้ชุมชนที่พักอาศัย หรือแหล่งชุมนุมของคนทำงาน มากยิ่งขึ้น อันเป็นผลมาจากปัญหาการจราจร และ
ระยะทางในการเดินทาง ตลอดจนห้างขนาดใหญ่นั้นขาดความเฉพาะเจาะจง เราจึงเห็นห้างที่เรียกว่า “COMMUNITY MALL
ห้างข้างบ้าน”
เกิดขึ้นเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
เมเจอร์ที่เริ่มจากนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ก็มีห้างของตัวเองโดยผนวกกับโรงภาพยนต์ที่พัฒนาระบบเสียง ระบบฉายหนังที่จากเดิมต้องเป็นรอบ เด็กรุ่นใหม่อาจะไม่มีประสบการณ์ คือทุกโรงจะเป็นโรงใหญ่หลายร้อยที่นั่น และทุกโรงฉายเป็นรอบๆเช่น 10.00 13.00 16.00 น.ตายตัว
ใครไปช้าก็ต้องรออีกประมาณ 3 ชมกว่าจะถึงรอบถัดไป
แต่แค่ปรับรอบฉายและโรงฉายให้มีขนาดเล็กลงก็สามารถตอบโจทย์ว่าไปเวลาใด
ก็รอไม่นานที่จะได้ชมภาพยนต์เรื่องที่เราต้องการชม
นอกจากนี้แล้วเรายังเห็นได้ว่ามีห้างข้างบ้านเกิดขึ้นตามขนาดของชุมชนและเมืองที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น I’M PARK
ที่ตั้งอยู่ตรงสามย่านตอบโจทย์นิสิตจุฬาและชุมชนในละแวกใกล้เคียง หรือ THE
CIRCLE ที่เจาะชุมชนคนชัยพฤกษ์ / PORTOCHINO เจาะคนมหาชัย กับ คนเดินทางลงภาคใต้
(ดูเหมือนว่าผ่านพระรามสองไปใต้ใครไม่แวะจะเป็นคนตกยุคไปนีสนุง) และขณะนี้ก็มีการก่อสร้าง SALAYA HALL แน่นอนต้องเจาะคนศาลายา / และ ชาวมหิดล
ศูนย์การค้าเหล่านี้มีเป้าหมายลูกค้าชัดเจนไม่ใช่ว่าจะเจาะลูกค้าทุกคน เป้าหมายนอกจากในเรื่องของประชากรศาสตร์ แล้วยังมีเรื่องของภูมิศาสตร์ และ วิถีชีวิตเป็นสำคัญ และผมก็เชื่อว่าอีกไม่นานคงกี KAMPANGSAEN PSRK มาตอบโจทย์
นิสิตเกษตรและชาวกำแพงแสนใกล้เคียงเป็นแน่แท่
แค่รอเวลาและจำนวนคนที่มากพอเมื่อเอยก็เมื่อนั้น...............มันมาเอง ครับ.......... “COMMUNITY MALL ห้างข้างบ้าน”