วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

“เซียงไฮ้ ไม่ไกลเกินไปหา”




             


        เศรษฐกิจไทยในปี 2558 นี้ใกล้จะสิ้นสุดรอบปีแล้ว  เครื่องยนต์หลายๆตัวที่คอยขับเคลื่อนเศรษฐกิจก่อนเปลี่ยนแปลงทีมเศรษฐกิจของท่านนายกตู่ดูเหมือนไม่ได้ผล  ปราศจากมนต์ที่จะมาทำให้เศรษฐกิจผงกหัวขึ้นมาได้  เพราะว่าเครื่องยนต์ทุกตัวดับสนิท  เหลือพระเอกอยู่ตัวเดียวคือ  “ท่องเที่ยว”  การส่งออกที่ติดลบจนคาดว่าถึงสิ้นปีน่าจะติดลบประมาณ 4-5%  ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะใครๆก็ติดลบแถมติดลบมากกว่าเพราะใครๆก็มุ่งส่งออก  แล้วถ้าชาติที่เขานำเข้ามีปัญหาเศรษฐกิจพวกเราก็เดี้ยงตามไปด้วยอย่างมิต้องสงสัย      จนท่านนายกตู่ต้องปรับทีมเศรษฐกิจมีรองสมคิดเป็นทีมนำ   มีมาตราการกระตุ้นออกมาเป็นระยะๆซึ่งก็ต้องใช้เวลาในการให้เครื่องมือ  หรือมาตราการทั้งหลายเดินเครื่องไปก่อนจึงจะเห็นว่ามันได้ผลหรือไม่   โดยความเห็นส่วนตัวของผมคิดว่าได้ผลพอประมาณ  เรียกว่าดีกว่าทีม ศก.ชุดก่อนที่แทบไม่ได้ทำอะไรเลย   เพราะกลัวว่าเป็นประชานิยม จนไม่กล้าทำอะไรเลย   ทำไมถึงเห็นว่าจะมีผลพอประมาณเพราะว่าไม่ว่าจะกระตุ้นอย่างไรแต่ถ้าคนไม่มั่นใจว่าเศรษฐกิจจะดีใครจะกล้าลงทุน  เช่น เอาเงินมาให้ผมบอกว่าร้อยละ 4  แต่ว่ากำลังผลิตผมเหลือเฟือถึง 40%  ใครจะกล้าลงทุน  หลายอย่างไม่ได้ขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ย  หรือการลดภาษีแต่ขึ้นอยู่กับ  “ความเชื่อ”  ด้วยครับท่าน
            จั่วไว้ข้างต้นว่า “ท่องเที่ยว” คือพระเอกในปีนี้และคาดว่าปีหน้าด้วย  น่าจะทำเงินได้มากกว่า 2.2  ล้านล้านบาท  จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่คาดว่าจะมาไทยในปี 2558 จำนวน  28 ล้านคน  แต่เมื่อมองตัวเลขแล้วเป็นนักท่องเที่ยวจีน  ประมาณ 25 %   จากนักท่องเที่ยวทั้งหมด   พอดีผมได้ไปดูงานที่เซี่ยงไฮ้ซึ่งเรียกว่างาน FESPA 2015  เป็นงานรวมพลผู้ประกอบการอุตสาหกรรมการพิมพ์ทุกประเภท  ทั้งสิ่งทอ  เครื่องหนัง  โฆษณา  พิมพ์บรรจุภัณฑ์  ฯลฯ  งานจัดที่ นิวเซี่ยงไฮ้เอ็กซ์โป  ซึ่งผมเคยไปดูงานที่สถานที่นี้มาแล้วเมื่อหลายปีก่อน  แต่ยังไม่เคยนำมาเล่าว่า มันยิ่งใหญ่อลังการงานสร้างโอ้พระเจ้าจ้อรจ์มันยอดมาก   มีกี่ฮอลล์ไม่รู้ลืมนับแต่ลักษณะมันจะเป็นฮอลล์รายรอบเป็นสนามสามเหลี่ยมซึ่งอยู่ตรงกลาง  ใครมาจัดงานก็เช่าจำนวนฮอลล์แล้วแต่ขนาดของการจัดงานนั้นๆ  แต่รวมแล้วน่าจะมีทั้งสิ้น 17 ฮอลล์  แต่ว่าขนาดของฮอลล์หนึ่งฮอลล์นั้นใหญ่กว่าเมืองทองทุกฮอล์รวมกันนะครับ   โดยมีพื้นที่ในการจัดงานรวมทั้ง 17 ฮอลล์คือ  300,000 ตารางเมตร  โดยที่สถานที่จัดงานนี้เป็นภาคเอกชนจีนร่วมทุนกับทางเยรมัน  มีผู้เข้าชมตลอดทั้งปีประมาณ 5 ล้านคน    ลองคิดดูนะครับว่าจะมีเม็ดเงินมาสนับสนุนเศรษฐกิจของจีนเท่าใดจากคน 5 ล้านคน  ซึ่งคนที่มานี้เป็นนักธุรกิจทั้งสิ้นแน่นอนว่ากำลังซื้อย่อมมากว่านักท่องเที่ยวแบบศูนย์เหรียญ 
            และในประเทศจีนมีสถานที่จัดงานแสดงสินค้าในลักษณะนี้อยู่หลายแห่ง   ถ้าขนาดใหญ่ๆที่ผมเคยสัมผัสก็มี สามแห่งแล้ว 2 แห่งในเซียงไฮ้   อีกแห่งในกวางเจา ซึ่งอลังการงานสร้างก็ที่จัดงานกวางเจาเทรดแฟร์นั่นเองครับ  ส่วนอีกแห่งในเซียงไฮ้ก็คือตรงบริเวนที่จัดเอ็กซ์โปเมื่อหลายปีก่อนนั่นเอง  ซึ่งมีสิ่งหนึ่งที่รัฐบาลเขาสนับสนุนส่งเสริมก็คือ  ทุกแห่งที่เป็นสถานที่จัดงานแบบนี้จะมีรถไฟฟ้ามาหานะเธอ  ทำให้ผู้คนไปมาโดยสะดวก  คนต่างชาติก็สามารถเดินทางมาได้ด้วยความสะดวกรวดเร็วรถไม่ติด   จะเห็นได้ว่านอกจากจีนจะสร้างการท่องเที่ยวแบบทัศนาจรแล้วเขายังส่งเสริมการจัดนิทรรศการที่เป็นรูปธรรม  สามารถดึงต่างชาติมาได้ปีนึงไม่น้อยกว่า 30 ล้านคน  นี่นับแบบงานนานาชาติ  แล้วงานระดับชาติที่เขาจัดกันทุกมณฑลทุกจังหวัด  คือผมเห็นทุกเมืองใหญ่ๆจะมีสถานที่จัดงานแสดงสินค้า  ซึ่งก็จะมีคนจีนจากเมืองต่างๆมาเยี่ยมชมกันไปมาเพราะเมืองจีนใหญ่มาก สินค้าหลากหลายทั้งวัฒนธรรม ความเชื่อ ประเพณี และความชำนาญในการผลิต   อย่างงานกวางเจาเทรดแฟร์ผมมองด้วยตาเป่ล่า   ครึ่งหนึ่งเป็นคนจีนหรืออย่างน้อยก็ 30-40 % เป็นคนจีนที่เดินทางมาแสวงหาซัพพลายเออร์นั่นเอง
            เซี่ยงไฮ้เที่ยวนี้ผมสังเกตุเห็นความเปลี่ยนแปลงบนถนนคนเดิน   คือถนนนานจิง   ที่ขาดความคึกคักลงไปมากท้งคนจีนและคนต่างชาติเมื่อก่อนจะเดินกันแทบจะชนกันไปมา   เพราะเกือบทุกครั้งผมจะไปพักที่รร.บนถนนนานจิงเพราะสะดวกทั้งการเดินทางและอาหารการกิน  ร้ารวงแถวนั้นพูดภาษาอังกฤษได้ครับ   นอกจากนี้แล้วมีหลายร้านที่หายไปจากถนนนานจิง   ซึ่งก่อนเดินทางอ่านหนังสือพิมพ์มีข่าวว่าค่าเช่าอาคารเพื่อประกอบธุรกิจในเซียงไฮ้แพงมากๆๆๆ    ก็คงจะจริงเพราะร้านที่หายไปไม่ใช่แบบโนเนม  ยกตัวอย่างเช่น    ไนกี้   หลี่นิง  เป็นต้น  แต่ที่เห็นคึกคักคงไม่พ้น  เบลาโน  กะ  จิออดาโน  ซึ่งเป็นร้านเสื้อผ้าแบบสบายๆ ก็เลยถอยเสื้อหนาวมาตัวนึง  700 กว่าบาท  แน่นอนสีสันตามสไตล์ยังแอทฮาร์ทแบบเรา  ให้มันรู้บ้าง ไผ๊เป็นไผ๊...........................

พร่ำบ่น ...ก่นด่า...แต่ไม่หาทางออก 23 พฤษภาคม 2568

  พร่ำบ่น ...ก่นด่า...แต่ไม่หาทางออก 23 พฤษภาคม 2568                  ปัญหาภาวะเศรษฐกิจที่มีจุดเริ่มต้นมาจาก “โควิด19”   จากปลายปี 20...