ช่วงปลายปี
พ.ศ. 2558 ที่ผ่านมามีแคมเปญในเรื่อง
ช๊อปปิ้งช่วยชาติโดยผู้ที่ซื้อสินค้าจากร้านค้าที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม สามารถนำยอดซื้อที่ไม่เกิน 15,000 บาท
ไปคำนวณเพื่อหักภาษีส่วนบุคคลได้
จากข่าวของโฆษกรัฐบาลที่กล่าวว่ามีผู้อยู่ในระบบฐานภาษีสองล้านคน
และประมาณว่ามีผู้ใช้สิทธิ์ครึ่งหนึ่ง คือ หนึ่งล้านคน ก็จะทำให้เกิดการซื้อขายเป็นจำนวนเงิน 15,000
ล้านบาท (หากเงินนี้หมุน 4 รอบ
ก็จะทำให้เกิดมูลค่า 60,000 ล้านบาท)
ซึ่งเป็นคำตอบที่น่าสนใจแต่ผมขอตั้งข้อสังเกตุดังนี้
1. ยอดเงิน 15,000
บาท มิได้ทำไปหักภาษี 15,000 บาท
เหมือนที่ประชาชนเข้าใจหรือเหมือนที่ห้างร้านต่าง ๆ โฆษณาประชาสัมพันธ์ ทั้งนี้หากดูตามตารางข้างล่างก็จะนำไปลดภาษีได้
750 – 5,250 บาท ตามฐานรายได้ที่นำมาคำนวณเพื่อหารายได้สุทธินั่นเอง
2. ผู้ซื้อสินค้า
15,000 บาทนั้นต้องจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% เป็นจำนวนเงิน 1,050 บาท ดังนั้นคนที่ได้รับภาษีคืนแค่ 750 บาท จึงถือว่าขาดทุนเพราะจ่ายภาษีไปถึง
1,050 บาท ซึ่งบุคคลเหล่านี้เป็นคนส่วนใหญ่ที่เสียภาษีอยู่และมีเป็นจำนวนมาก
(รายได้อยู่ระหว่าง 30,000 – 40,000 บาท)
ยกเว้นว่าจะเป็นการซื้อสินค้าที่จำเป็น
หรือสินค้าที่วางแผนซื้ออยู่แล้วก็รีบมาซื้อในช่วงโปรโมชั่นดังกล่าว ตัวอย่างเช่นลูกสาวผมต้องซื้อ ทีวี
ตู้เย็น ซึ่งจริง ๆ
แล้วคิดว่าจะซื้อเดือนมกราคม 2559
ก็รีบซื้อและใช้ประโยชน์จากโครงการนี้
นั่นหมายความว่าไม่ได้เพิ่มดีมานด์
เพราะเป็นการนำดีมานด์ในอนาคตมาใช้ก่อนนั่นเอง
3. สำหรับคนที่มีรายได้สูงก็อาจจะได้ประโยชน์เต็ม
ๆ คือจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่ม 1,050 บาท ได้ใบลดหย่อนภาษีสูงสุดถึง 5,250 บาท
(ดูตามตารางประกอบ)
โดยการซื้อล่วงหน้าคล้ายกับลูกสาวผมที่กล่าวในข้อ 2 หรือซื้อสินค้าอุปโภค บริโภค
จากซุปเปอร์มาร์เก็ต ไว้ใช้ใน 3 เดือนข้างหน้า หรือซื้อเสื้อผ้าเครื่องใช้ต่าง ๆ
ล่วงหน้านั้นเอง
4. นั่นหมายความว่าแทนที่จะกระตุ้นการใช้จ่ายก็เป็นแต่เพียงนำค่าใช้จ่ายล่วงหน้ามาจ่ายในช่วงโครงการนี้เท่านั้นเสียเป็นส่วนใหญ่ ยกเว้น!!! สินค้าบริการเพราะว่าบริการซื้อเก็บไว้ไม่ได้คือจ่ายเงินแล้วรับการบริการเลย
(เพราะการซื้อคูปองล่วงหน้าไม่สามารถนำมาใช้ในโครงการนี้ได้) ขยายความได้ว่ายอดเงินกี่หมื่นล้านก็แล้วแต่มันไม่ใช้ดีมานด์ที่แท้จริงนั่นเอง
คงมีบางส่วนโดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจบริการและร้านอาหารที่เชื่อได้ว่าเป็นดีมานด์ที่สร้างขึ้น
5. จะดีกว่าหรือไม่
........ถ้า.......เปลี่ยนเป็น .........การซื้อสินค้าโอทอป สหกรณ์การเกษตร กลุ่มแม่บ้าน
กลุ่มเกษตรกร
ซึ่งเป็นบุคคลที่ขาดกำลังซื้อมากที่สุด
รัฐบาลอาจจะอ้างว่ากลุ่มเหล่านั้นไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลเพิ่ม แก้ง่ายนิดเดียวใช้ ม.44
(ขนาดยึดรถคนดื่มสุราแล้วขับยังทำได้) โดยให้กระทรวงพานิชย์ตั้งโต๊ะประทับตราหรือออกเอกสารเพื่อนำไปลดหย่อนงานโอทอปที่เมืองทองซึ่งจัดในช่วงเวลาดังกล่าวพอดี
หรือถ้าจะให้มันระเบิดเถิดเทิงก็จัดโอทอปวีคมันทุกจังหวัดทั่วไทย
เม็ดเงินจะหมุนไปยังคนจนได้ดีที่สุดซึ่งเขาเหล่านั้นก็ย้อนกลับมาซื้อสินค้าต่าง
ๆ นั่นเอง
การกระทำในลักษณะนี้เงินจะตรงไปถึงชาวบ้านโดยตรงแต่ที่ทำอยู่ปัจจุบันนั้นเงินจะไปตกกับบริษัทขนาดใหญ่
หรือบริษัทต่างชาติ เช่น น่าจะมีคนสำรวจว่าไปซื้อโทรศัพท์มือถือ เครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้าฟุ่มเฟือย
ซึ่งเงินหล่านี้ก็จะไปตกกับต่างชาติเสียเป็นส่วนใหญ่ เอ.....ลุงตู่ โดนพ่อค้ารายใหญ่...หลอกเอา
อะป่าว....คริๆๆๆ
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้มิใช่ว่าโครงการนี้ไม่ดีแต่จะดียิ่งขึ้นถ้าผลมันเกิดกับคนในชนบท หรือคนมีรายได้น้อยมากกว่าในเมือง หรือคนมีรายได้มาก หรือห้างร้านขนาดใหญ่ นั่นเอง..........ก็แค่...........
คิดเหมือนเดิม
เพิ่มเติมที่การกระทำ
น่าตั้งให้ผมเป็นรัฐมนตรี ชิมิ...ชิมะ...!!!!! ลุงตุ่....