ต้นเดือน
ถิถุนายน 2560 ได้มีโอกาสไปเยือน “โมรอคโค” ประเทศที่หลายๆคนคงสงสัยว่ามันอยู่ตรงส่วนใดของโลก และ คงเป็นประเทศท้ายๆที่นักท่องเที่ยวไทยจะเดินทางไป แต่เนื่องจากผมเองมีเวลาช่วงว่าง(ที่ติดต่อกันหลายๆวัน)
ตรงช่วงนั้นพอดีกับมีทัวร์จัดทริปในประเทศหรือเมืองที่ยังไม่เคยไปอยู่ประเทศเดียว พูดง่ายๆคือไม่มีตัวเลือกที่ตรงกับช่วงเวลาว่าง อย่ากระนั้นเลย “ไปไหนไปกัน”
ก็เลยได้มีโอกาสได้ไปเยือนดินแดนสีสันและอารยธรรม
ขี่อูฐชมพระอาทิตย์ขึ้น
แม้จะเคยขี่อูฐมาครั้งหนึ่งแล้วที่ดูไบก็ตาม
รู้จักโมรอคโคแค่ “คาซาบลังก้า” ก็จะอะไรเสียอีก เพลง
เพลง เท่านั้น หลังจากการเดินทางอันยาวนาน คือ 6 ชั่วโมงถึงอาบูดาบี พักรอต่อเครื่องอีก 5 ชัวโมง แล้วต่อเครื่องไปคาซาบลังก้าอีก 8 ชั่วโมง
รวมแล้ว 19 ชั่วโมงนับเป็นการเดินทางที่ยาวนานที่สุดที่เคยมีประสบการณ์มา ปกติไปยุโรปก็ประมาณ 12
ชั่วโมงแต่เป็นการเดินทางตรง
แต่โชคดีเครื่องว่างแถวที่นั่ง 4 ที่เลยนั่งสองคนกับภรรยาสบายไป ประหยัดค่าตั๋วชั้นธุรกิจไป 90,000 บาท/คน พี่น้องงงมั้ยครับค่าทัวร์ทั้งทริป
60,000 แต่อัพเกรดเป็นชั้นธุรกิจเพิ่มอีก
90,000 บาท
ถามทางทัวร์ไม่ทราบว่าไหงงั้นแต่พอไปถึงสนามบินจึงทราบว่าค่าตั๋วกรุ๊ปทั้วร์นั้นไม่ถึงสองหมื่นบาท และถ้าแยกไปชั้นธุรกิจต้องแยกตั๋วเป็นตั๋วเดี่ยวทำให้แพงมหาศาล
ผมก็ถามว่าแล้วที่นั่งชั้นธุรกิจว่าหรือไม่ตอนเช็คอินที่สนามบิน ปรากฏว่าว่างถึง 80
เปอร์เซนต์เลยลองแหย่เล่นๆว่าผมให้ 50,000 บาทต่อคนแล้วจขออัพเกรด
ปรากฏว่าไม่ได้ก็เลยได้นั่งชั้นประหยัดแบบพิเศษแถวสี่คนแต่นั่งสอง อ้อ.....ลืมบอกไปสายการบิน “เอธิฮัด”
ของสหรัฐอาหรับอิมิเรสต์ครับ
ตัวเครื่องและการบริการตลอดจนอาหารเครื่องดื่มก็โอเค อายุของสายการบินนี้แค่
13 ปี แต่ว่าได้รับรางวัลจากการประเมิน(ไม่ใช่จากการสำรวจผู้โดยสาร) ว่าเป็สายการบิน 5 ดาว ผิดกับการบินไทยอายุ 60
ปีเศษ ไม่รู้ได้กีดาว แต่เราก็รักของเรานะ...หรือว่ารักในไมล์สะสมก็ม่ายรู้ สายการบินในตะวันออกกลางค่าตั๋วถูกแม้จะต้องแวะต่อเครื่องทำให้เสียเวลาไปมากพอสมควร ตอนลูกสาวคนเล็กไปเรียนที่อังกฤษก็ให้ไป”อิมีเรสต์”
ต่อเครื่องที่ดูไบทำให้ประหยัดไป เกือบสองหมื่นก็เหมาะสำหรับคนไม่รีบร้อน
และต้องการประหยัดทั้งนี้ก็แล้วแต่อัธยาศัยของท่านนะครับ
แต่อย่างไรก็ตามการเดินทางไปโมรอคโคจากประเทศไทยไม่มีการบินตรงอยู่ดีจึงนับว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด..............จบข่าว.....
สถานที่ท่องเที่ยวในโมรอคโคไม่สมคำล่ำลือ (หรือว่าเราคาดหวังมากไปก็ไม่รู้) เพราะไม่เลิศหรูอลังการงานสร้าง หรือสีสันตระการตาเท่าที่ มโน....ไว้แต่ประการใด ซึ่งการเดินทางครั้งนี้ต้องนั้งรถวันละ 200-300 กม. และเปลี่ยนโรงแรมทุกคืนรวม 6 คืน รวมนั่งรถ กว่า 3,000 กม. เพราะว่าแต่ละเมืองมีสถานที่ท่องเที่ยวน้อย ก็ประมาณว่าเมืองละ 1 จุดอะไรประมาณนี้ ที่น่าสังเกตุคือแทกซี่แต่ละเมืองนั้นจะมีสีที่แตกต่างกันไป เช่น คาซาบลังก้าสีขาว มาราเกซซึ่งเป็นเมืองสีชมพูรถแทกซี่จะสีไข่ไก่ เมืองเซฟซาอูนสีฟ้า เป็นต้น ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเท่าไหร่ในสถานที่เที่ยวแต่ละแห่ง ..............
แต่ไฮไลท์อยู่ที่ “
การพักโรงแรมในทะเลทรายซาฮาร่า และ
ขี่อูฐชมพระอาทิตย์ขึ้น” นี่แหละคือจุดสุดยอดของทริปนี้ เพราะแม้จะเคยขึ่อูฐมาแล้วที่ดูไบ
แต่ไม่เคยขึ่ชมพระอาทิตย์ขึ้นแบบนี้ทำให้ตื่นตาตื่นใจ และจบทริบขึ่อูฐด้วยการที่น้องๆที่เป็นคนพื้นเมืองนำของที่ระลึกมาขายซึ่งก่อนหน้านั้นหัวหน้าไกด์ก็เล่าให้ฟังถึงความลำบากของน้องๆเหล่านี้
และก็อยากให้ช่วยซื้อนิดหน่อยหรือทิปให้น้องๆเค้า พอน้องๆเค้างัดของมาวางเรียงบนทรายอะเอีดยสีนวลๆ
ฟังราคาแล้วตกใจเพราะตอนเดินตลาดเราก็พอจะประมาณราคาได้ หินฟอสซิลที่เป็นพวกกุญแจ ในตลาดขาย 20 ดีแรมตกประมาณ 80 บาท น้องเขาตั้งราคาไว้ 100 ดีแรม 400 บาท
พอจะอ้าปากต่อน้องเขาว่า “ THIS IS NOT FOR BUSINESS BUT IT FOR MY FAMILY “ เท่านั้นแหละครับ
ควักกระเป๋าจ่ายไป 100 ดีแรม
พร้อมกับน้ำตาแห่งความปิติไหลพรากที่ได้มีส่วนช่วยเหลือครอบครัวของน้องเค้า อุตะ...อุตะ....อุตะ ใครสั่งใครสอนหว่าประโยคนี้ แต่ก็นึกว่าเหมือนกับซื้อของ 80 บาท ทิปน้องไปอีก 320 บาท ก็โอ......นะจะบอกให้ @@@@@@ สงสารมาร์เก็ตติ้ง PITY MARKETING เท่านั้นเองที่เราพร้อมควักกระเป๋าจ่ายตังไป คิดได้ดังนี้ก็สบายใจจริงมั๊ย.......!!!!!!!!