วันพฤหัสบดีที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2560

“สวัสดิการแห่งรัฐ ??”



              





                        ในที่สุดโครงการสวัสดิการแห่งรัฐของรัฐบาลลุงตู่    ก็สำเร็จเป็นรูปร่างจะเริ่มแจกบัตรและใช้สิทธิในบัตรได้ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2560  เป็นต้นไป   แม้ว่าจะมีคนมาลงทะเบียนถึง 14 ล้านคนเศษ  ตรวจสอบแล้วมีคุณสมบัติครบ 11.6 ล้านคน  แถมมี ป.โท ป.เอก จบ ดร. มาสมัคร 6000 กว่าคน  โอ้ยจะจนได้อย่างไรกันมีทุนเรียนถึง ป.โท  ป.เอก   น่าจะจับมาประจานให้มันรู้แล้วรู้รอด   ความจริงตอนลงทะเบียนน่าจะมีระเบียบว่าใครกรอกข้อความเป็นเท็จจะต้องถูกลงโทษเหมือนแจ้งความเท็จ  ก็จะสามารถสกรีนคนที่ไม่จนจริงออกไปได้อีก  ซึ่งผมเชื่อเหลือเกินว่า  ใน 11.6 ล้านคนนั้น น่าจะจนไม่จริงอีกไม่ต่ำกว่า 2 ล้านคน
                ครม.ไฟเขียวโครงการ ประชารัฐสวัสดิการช่วยเหลือคนจนที่ลงทะเบียน นำบัตรสวัสดิการไปซื้อสินค้า คนที่รายได้ต่ำกว่า 3 หมื่นบาทต่อปี จะได้300 บาท/เดือ  คนรายได้ 3 หมื่น-1 แสนบาทต่อปี จะได้เดือนละ 200 บาท รวมทั้งได้ส่วนลดค่าซื้อแก๊สหุงต้ม 45 บาทต่อคนต่อ 3 เดือน ได้วงเงินขึ้นรถเมล์ รถไฟ รถไฟฟ้า อย่างละ  500 บาทต่อเดือนเผยบัตรคนต่างจังหวัดใช้ขึ้นรถเมล์ รถไฟฟ้าไม่ได้ (https://www.thairath.co.th/content/1054220)         
                อ่านข่าวนี้แล้วต้องอุทาน  “อุต๊ะ คิดได้งัย”  ไม่น่าเชื่อว่าระดับมันสมองอย่าง ดร.สมคิด และทีมงานจะคิดได้แค่นี้   เพราะมันมีจุดอ่อนมากมายและต้องลงทุนอะไรต่อมิอะไรอีกมากมายก่ายกอง  เพราะตามข่าวว่าจะเป็นบัตรสมาร์ทการ์ด  โดยตามผมมาจะวิเคราะห์ให้เป็นข้อๆ  แถมข้อเสนอจากมันสมองอันน้อยนิดของคนธรรมดาๆคนหนึ่ง
                1.ทำไมส่วนลดค่าแก๊สหุงต้ม 45 บาทต่อสามเดือน  ก็คือเดือนละ 15 บาทต่อเดือน  แล้วคนที่ไม่ได้ใช้แก้สหุงต้มก็ไม่ได้สิทธิ์ (น่าจะมีอยู่มากคน เช่นคนในชนบท  พวกที่อยู่บ้านเช่าส่วนหนึ่ง พวกที่ไม่ได้ทำอาหารเองอีกส่วนหนึ่ง)     แล้วจะตรวจสอบได้อย่างไรว่าเอาไปซื้อส่วนลด 45 บาท/3เดือน  แสดงว่าร้านขายแก้สทั้งหลายต้องออนไลน์หรือเปล่า ??   ถ้างั้นทำไมเพิ่มเงินในบัตร จาก 200 เป็น 215 บาทจะง่ายกว่ามั้ย   วัยรุ่นงง...............เพิ่มเงินตรงนี้ก็เหมือนกับให้ตังไปซื้อ/จับจ่ายใช้สอยนั่นเอง
                2.บัตรที่ว่าเติมเงินให้ทุกเดือนนั้น  จะสามารถนำไปซื้อของได้ที่ร้านประชารัฐ หรือร้านธงฟ้า   อ้าว.....แล้วที่อำเภอผมไม่มีร้านดังกล่าวละครับ........  หรือมีแต่อยู่ไกลมาก  .......ละละ 
                3.แล้วร้านธงฟ้า หรือ ร้านประชารัฐนั้น  ต้องมีเครื่องรูด หรือ เครื่องอ่านและตัดบัตรหรือไม่  ซื่งอธิบดีก็ออกมาแถลงแล้ว  ต้องซื้อเครื่องอ่านบัตร อีซีดี   แล้วต้องลงทุนอีกเท่าใด ???  เอางบมาละลายน้ำเล่น....
                4.วงเงินขึ้นรถเมล์  รถไฟฟ้า  รถไฟ  ...... มันก็เป็นสิทธิที่คนกรุงเทพจะได้เป็นส่วนใหญ่  แล้วถามต่อว่า  แล้วรถเมล์  กับระไฟ  ต้องมีเครื่องอ่านบัตร แบบรถไฟฟ้าบีทีเอสหรือไม่..... ถ้าไม่มีแล้วต้องซื้อเครื่องอ่านติดรถเมล์ทุกคันหรือไม่  โอ้ย  แค่คิด ก็ปวดหัว.............

                ไม่แค่พร่ำบ่น  แต่ผมมีข้อเสนอที่เป็นประโยชน์ในทำนองเดียวกัน  ไม่กล้าเคลมว่าน่าจะเป็นข้อเสนอที่ดีกว่า................เอาละสมมุติว่าตั้งตัวเลขไว้ที่ 46,600 ล้านบาทต่อปี  หรือ หัวละเท่าใดก็ตาม  หารออกมาเป็นวงเงินต่อคนต่อปีได้เท่าใด


                แล้วให้รัฐ  ไปซื้อของจาก โอท้อป  วิสาหกิจชุมชน สหกรณ์การเกษตร ฯลฯ  ที่เป็นคนในชนบท  โดยซื้อในราคาตลาด  แล้วนำมาแพคเป็นถุงยังชีพแจกเป็นรายเดือน  ที่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น  โดยคนในภาคใดก่จะได้ผลิตภัณฑ์ของชุมชนในภาคนั้นๆ 
            คุณูปการจะเกิดแก่  ชุมชน  คนรากหญ้า  เต็มวงเงินที่รัฐจัดให้   แถม ผู้ผลิตก็สามารถมีรายได้  มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ 46,000 ล้านต่อปี  คิดเป็นกี่ % ของจีดีพี  ต้องไปถามนักเศรษฐศาสตร์    ไม่ต้อซื้อเครื่องอ่านบัตรอีซีดี.......  เฮ้อ   เหนื่อยใจ...............

วันศุกร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2560

“ BAD SAD MAD “





                    จั่วหัวเรื่องวันนี้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ เสียเท่าไหร่เพราะน่าจะเกี่ยวข้องกับวิธีคิดและแนวคิดมากว่า  เพราะตื่นขึ้นมาเมื่ออาทิตย์ก่อนรู้ได้เรยว่าเราแก่แล้ว  ถ้ารับราชการก็เกือบเกษียนแล้วแต่ไม่บอกว่าอายุเท่าไหร่  ทายกันเอาเองเพราะว่าถ้าดูรูปอาจจะนึกว่า 50  คิดเอาเอง ว่าคนอื่นคิด  แค่นี้ก็มีความสุขแระ ชิมะชิมะ


ไปค้น คุ้ย ช้อตโนทที่มักจะเขียน เขี่ย ไว้เวลาได้ยิน ได้ฟัง หรือเห็นอะไร ที่น่าสนใจ  แต่ก็จำไม่ได้ว่ามาจากไหน จดเอาไว้ว่า  “จะขจัดความทุกข์ได้อย่างไร  ถ้าไม่แสวงหาความสุขมาทดแทน “  โดน ๆๆๆๆ    นั่นดิ .......เพราะ...ว่ามีเพื่อน ลูกศิษยย์   ในหลากหลายรุ่น หลายวิชาชีพ หลายความคิด  แต่เราคงต้องยอมรับความจริงอันหนึ่งว่ามีอยู่ไม่น้อยที่   BAD SAD MAD “   อยู่เสมอๆ  จริงอยู่บางครั้ง บางคน อาจจะไม่ได้รับความเป็นธรรม  ถูกกระทำ ซึ่งทำให้มีปัญหาต่างๆนาๆตามมา  จน “หนุ่มเมืองจันทร์”  เคยเขียนไว้ว่า  ปัญหามีสองอย่าง  1.ปัญหาที่แก้ได้  ก็แก้เสีย  2.ปัญหาที่แก้ไม่ได้ ก็มันแก้ไม่ได้แล้วจะให้ทำอย่างไรดี   จึงต้องไปแสวงหาความสุขมาทดแทนครับพี่น้อง

                มีคนถามผมว่า “พี่วิ่ง 5 กม.ใช้เวลาเท่าใด”  ผมตอบว่า “ประมาณ 45-50 นาที”   โดนสวนกลับมาว่า “ผมเดินเร็วกว่าพี่อีก”  ไอ้น้องเอ้ย  ความสุขของการดื่มสุราไม่ได้อยู่ที่สุราแต่อยู่ที่ได้ดื่มกับครับ อ้าว...แล้วจะโดนคณะกรรมการควบคุมสุราเรียกไปปรับทัศนคติหรือเปล่านี่   เอาใหม่ ............ความสุขของการวิ่งไม่ได้อยู่ที่วิ่งเร็วที่สุด  แต่ความสุขของการวิ่งของผมอยู่ที่ว่า  “ผมสามารถทำมันให้สม่ำเสมอ มีวินัย  และวิ่งเข้าถึงเส้นชัย “   แม้จะมีคนวิ่งแซงเราไปเรื่อยๆ  บางครั้งเราก็วิ่งแซงเขาบ้างเป็นรัยมี  แต่สุดท้าย สุขสุดๆ.....อยู่ที่เราเข้าถึงเส้นชัยต่างหาก    ปี 2516 วิ่งไป 16 อีเวนต์ ปีนี้นับถืง อาทิตย์ที่แล้ววิ่งไป 13 อีเวนต์  เป้าหมายปีนี้  24 อีเวนต์ และทุกเดือนจะต้องวิ่งให้ได้อย่างน้อย 20-25 วัน/ครั้ง  เมื่อ 30 กค. 2560 ที่ผ่านมาไปวิ่งที่ พระราม 2 ระยะทางสูงสุดเท่าที่เคยวิ่งมา 8..0 กม.   วิ่งเสร็จมีน้องคนนึงมาขอถ่ายรูปด้วย  บอกว่า  “ลุง...โปรดฟังอีกครั้งหนึ่ง   ลุง....เป็นแรงบันดาลใจให้ผม  ผมวิ่งๆเดินๆ ตามลุงจนถึงเส้นชัย  ถ้าไม่มีลุง ผมคงเลิกวิ่งกลางทางแล้ว”    โอ้ยไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจดี  เอ้า  ลุง ก็  ลุง  .....แต่ลุงแก่แล้วขอลุงก่อนนะ อย่าลืมนะหลาน..............

                ทุกวันนี้ผมมีความสุขกับการวิ่ง  หาที่วิ่งไปเรื่อยๆ  เคยไปบุรีรัมย์ใช้ค่าใช้จ่ายไปไม่น้อยเพื่อไปวิ่ง 5.5 กม.  ปีหน้าก็ไปอีก คราวนี้เป็น 7.0 กม. สมัครเรียบร้อยโรงเรียนเนวินแว้ว  และเป้าหมายสูงสุดจะต้องวิ่งให้ได้ 10 กม.ในงาน “จอมบึงมาราธอน ไม่ปี 2561 ก็ 2562 ฉลอง 60 ปีให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเรย”    สถิติสูงสุดวิ่งได้ 8 กม . แล้วคร้าบ    กับ สว. อย่างเรานี่ก็ไม่เบาเหมือนกันนะพี่น้อง   ........เอ้า อย่ามัวนั่งเศร้า...ซึม....อึมครึม...อยู่เรยครับ  BAD SAD MAD “  ไม่ได้ช่วยอะไรเราครับ  ขอแค่รู้จักแสวงหาความสุข     “จะขจัดความทุกข์ได้อย่างไร  ถ้าไม่แสวงหาความสุขมาทดแทน “    โอมีโตโฟ ...........อมิตพุทธ.......อาเมน......


ขายรัย...ทำไมเราอิน (มาก)

                                                   เครดิตภาพจาก "เฟสบุคไทรสุก"           สองอาทิตย์ก่อนไปเห็นน้องคนหนึ่งที่เป็...