วันพฤหัสบดีที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2561

เขารวยแล้ว อยากมาช่วย




                                 ประโยคข้างต้นเป็นสิ่งที่ท่านนายกลุงตู่ให้สัมภาษณ์กับนักข่าว  หลังจากการเข้าพบขอเจ้าพ่ออีคอมเมิรซ์ “แจ้คหม่า”  ซึ่งนาทีนี้ไม่มีใครในโลกนี้ที่ไม่รู้จักแจ้คหม่า  คำกล่าวข้างต้นดูเหมือนเราจะมีแต่ได้.....คำถามคือ “จริงหรือ ที่เค้ารวยแล้ว  เค้ามาช่วยเรา”   เมื่อฟังเผินๆดูเหมือนแจ้คหม่าเป็นนักบุญมาทรงโปรดประเทศไทยให้เข้าสู่ยุค 4.0  ในบัดดล  หลังจากที่เราย้อนยุคไปสู่ออเจ้าเมื่อเดือนก่อนหน้านั้นไม่นาน   เหมือนกับว่าเขาให้ ....ให้......และให้.....แก่ประเทศไทย  ซึ่งผมไม่แย้งว่าประเทศไทยเราไม่ได้อะไรจากความร่วมมือในครั้งนี้    แต่อยากให้เห็นอีกมุมหนึ่งว่าเรา “เสีย”  อะไรไปบ้าง    แต่มิใช่ว่าจะไม่ให้การตอบรับกับความร่วมมือในครั้งนี้  เพราะไม่ช้าก็เร็วสิ่งต่างๆเหล่านี้ก็ต้องมาอยู่ดี  เราไม่สามาถต้านกระแสโลกาภิวัฒน์ได้ฉันท์ใด  ก็มิอาจจะต้านทานแจ้คหม่าได้ฉันท์นั้น
                แต่อยากจะให้เห็นอีกมุมหนึ่งว่าเราต้องเสียอะไร   ต้องเตรียมตัวอะไร  ต้องป้องกันอะไร  และ สุดท้ายเพื่อการปรับตัวอย่างไรกับกระแสการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้  ก่อนอื่นเรามาดูกันว่าความร่วมมือที่ว่ามีอะไรกันบ้าง    ซึ่งสรุปได้สี่ประการ  คือ 
1.ความร่วมมือด้านการค้าการลงทุน และการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล ระหว่างคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก และ บริษัท อาลีบาบา (จีน) จำกัด
2.ความร่วมมือด้านการลงทุน Smart Digital Hub ในพื้นที่ อีอีซี ระหว่างสำนักงาน อีอีซี กรมศุลกากร และบริษัท Cainiao (ไซ่เหนี่ยว) Smart Logistics Network
3.ความร่วมมือด้านการพัฒนาบุคลากรในด้านดิจิทัล และการส่งเสริมธุรกิจผ่านอีคอมเมิร์ซ ระหว่าง กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และ Alibaba Business School
4.ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวผ่านดิจิทัลและการส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง ระหว่าง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และบริษัท Fliggy (เครดิต: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ 24 เมษายน 2561)
“อาลีบาบา”  คืออะไร  “ทีมอล”  คืออะไร  ........................คือสะพาน /  คือสื่อกลาง / คือคนกลาง ระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย ...........อะไรหายไป ...........”คนกลางครับ”   ดีหรือไม่ดี   ขึ้นอยู่กับว่าคุณเป็นใคร  ถ้าคุณเป็นพ่อค้าคนกลาง คงลำบากไม่มีที่หากิน  เป็นผู้บริโภคจะซื้อของได้ถูกลง  เป็นผู้ผลิต”น่าจะ” ขายของได้ราคา และปริมาณมากขึ้น   ผมใช้คำว่า “น่าจะ”   เพราะ............
ขายของได้ราคามากขึ้น อาจจะมาจากที่ตัดพ่อค้าคนกลางไป   แต่ ในตลาดแข่งขันเสรีซึ่งมีผู้ผลิตมากมาย  และเข้าถึงผู้บริโภคได้เท่ากันทั้งรายเล็กรายใหญ่ก็ต้องแข่งขันสูง   อาจจะต้องแข่งขันกันด้วยราคาทำให้ราคาขายลดลงก็ได้  (กำไรเท่าเดิม  หรือ ลดลง แม้ตัดพ่อค้าคนกลาง เพราะต้องปรับราคาสู้)
ขายของได้ปริมาณเพิ่มขึ้น  อาจจะจริงหรือไม่จริงก็ได้   ขึ้นอยู่กับสินค้าคุณสามารถแข่งขันได้หรือไม่ทั้งในด้านคุณภาพ  ราคา  การบริการ ฯลฯ   เช่น  หากคุณผลิตอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือวันนี้คงต้องปิดโรงงานเพราะสู้สินค้าจากจีนไม่ได้   แต่ถ้าเป็นผลไม้  อาหาร ฯลฯ ที่มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวสินค้า นั้นก็อาจจะขายได้ทั้งราคาและปริมาณที่เพิ่มขึ้น   แต่วันนี้ใครๆก็รู้ว่าผลไม้ไทยถูกล้งจีนเข้ากว้านซื้อไปซะเป็นส่วนมากดังนั้นผลกำไรที่แท้จริงก็จะตกอยู่กับบุคคลเหล่านี้เสียมากกว่า 
ยกเว้นว่า ..................เราปรับตัวและพัฒนา  เรียนรู้การทำอีคอมเมิรซ์ให้มีความเชี่ยวชาญและใช้เครื่องมือนี้ในการสร้างตลาดได้มากน้อยกว่ากัน    ใครเล่นเฟสบุ้คจะพบว่าทุกๆไทม์ไลน์ของเพื่อน  5 คน จะมีโฆษณา 1 รายการ  และโฆษณาส่วนใหญ่นั้นเป็นสินค้าที่มาจากจีนแทบทั้งสิ้น   สังเกตุได้จากชื่อเว็บไซท์จะประกอบไปด้วยตัวอักษรที่ไม่มีความหมาย  เช่น   qrrcd.com  เป็นต้น
แล้วสิ่งที่ตามมาหากอาลีบาบา ขายของได้มากขึ้นๆเรื่อยก็จะมีโลจิสติกเป็นของตนเองไหนๆมีฮับแล้วก็ส่งของเองจะเป็นรัยไป  ชิมะชิมะ    แน่นอนในมีได้ก็ต้องมีเสีย .....แต่เราจะทำอย่างไรให้คุ้มค่าเป็นสิ่งที่น่าคิดมากกว่า   ......................หรือแม้แต่กระทั้งในข้อ 4 ที่ว่าส่งเสริมการท่องเที่ยวมันก็ดีอยู่แต่ลองนึกดูว่าถ้าคนจีนมากเมืองไทยปีละ 30 ล้านคนจะเกิดอะไรขึ้นกับแหล่งท่องเที่ยวทรัพยาทางธรรมชาติของบ้านเราบ้าง   ซึ่งในแง่ที่กระตุ้นเศรษฐกิจอันนี้ดีแน่ๆ  แต่จะทำอย่างไรให้เรารักษาแหล่งทรัพยากรทางธรรมชาติให้มีความสมดุลย์  อันนี้เป็นโจทย์ใหม่ ม้วก ม้วก............
สุดท้ายแล้วเราก็ต้องมาทบทวนและพัฒนาบุคคลากรของไทยเราโดยเฉพาะเอสเอ็มอี  ตลดจนชาวสวน เกษตรกร  ให้มีองค์ความรู้และสามารถนำไปปฏิบัติกับอีคอมเมิร์ซได้เอง  แสวงหาตลาด  ด้วยตนเอง  ซึ่งก็ต้องอาศัยรัฐในการสนับสนุนและส่งเสริมอย่างเป็นรูปธรรม  แต่ส่วนใหญ่แล้วผมเห็นว่า “อบรม”  แล้วก็แล้วกัน ถือเป็นการหมดหน้าที่  ตอนไทยแลนด์ 4.0 ออกมาใหม่ๆทุกภาคส่วนอบรม อบรม  อบรม  แล้วเป็นงัย  วันนี้ยังต้องถ่ายเอกสารสำเราบัตรประชาชน  พร้อมทะเบียนบ้าน เวลาติดต่อราชการ (แม้จะมีคำสั่งว่าไม่ต้องใช้แล้ว  แต่ถ้าเราไม่ส่งก็ไม่ได้รับบริการ ?? )     OMG  ไทยแลนด์  4.0
อ้อ................สุดท้าย ครับ  ลุงตู่.............ไม่ว่าธุรกิจ ไทยกับจีน  ไทยกับทั่วโลก  จะขาดทุน.....หรือกำไร....อย่างไร....ก็แล้วแต่ .................อาลีบาบา  ก็ได้ค่าธรรมเนียม  ทั้งรายเดือน  และจากปริมานการขายทั้งขึ้นทั้งล่องครับ  “เค้ารวยแล้ว  เค้ามาช่วยเรา .........แต่ขอค่านายหน้านิดหน่อยเน้อออเจ้า  “  ไม่มากครั้ง  แค่ให้มากกว่าเงิน 11,000 ล้านบาทที่ผมลงทุนไปก็พอครับ..ลุง"

วันพุธที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2561

“ไม่เกี่ยว แต่เลี้ยวมาเจอกัน (ได้)”


               


                   และแล้วการรณรงค์ในเรื่องอุบัติเหตุช่วงสงกรานต์ก็ล้มเหลว  แม้จะมีมาตราการ ตลอดจนการรณรงค์  กวดขัน  จับปรับ ยึดรถ ก็ไม่ทำให้คนไทยตายน้อยลงจากอุบัติเหตุ   ยอดผู้เสียชีวิตในปี 2561ระยะเวลา 6 วัน  มีสูงถึง 378 ศพ  มากกว่าปี 2560 ที่ 390 ราย (แต่เป็นยอด  7 วัน )   แต่ชีวิตต้องก้าวเดินไม่ตายก็เสี่ยงกันอยู่ต่อไปครับพี่น้อง  “ชีวิตเป็นของเรา  ใช้ซะ”  ดังนั้นอยากทำอะไรก็รีบทำ  เพราะไม่รู้ว่าจะตายเมื่อใด   ขนาดนั่งเครื่องบินอยู่ดีๆเครื่องยนต์ระเบิดอุปกรณ์กระเด็นมาชนหน้าต่างกระจกแตกดูดผู้โดยสารเสียชีวิต  แบบในหนังไฮแจ้คเครื่องบินเรยนับว่าเป็นความโชคร้ายอย่างสุดๆ   .......
            เขียนมาตั้งนานไม่เกี่ยวกับหัวเรื่องเรยแต่เพราะเศร้า  เหงา  หงุดหงิด  กับยอดคนตาย (ซึ่งจริงๆก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเรานะ .....ออเจ้า)    เพราะสิ่งที่ตั้งใจจะเขียนในวันนี้ก็เกี่ยวกับเรื่องที่   ทางสมาคมฟุตบอลไทยมีโปรโมชั่นร่วมกันกับ BNK48  ซึ่งสินค้าทั้งสองไม่เกี่ยวข้องกันเรย   แล้วเลี้ยวมาเจอกันได้อย่างไรเพราะว่าในการโปรโมทสินค้านั้นส่วนใหญ่แล้วเราจะเห็นว่ามันจะต้องเกี่ยวกัน   ใช้ร่วมกัน   กลุ่มผลิตภัณฑ์เดียวกัน  หรือเป็นสินค้าในกลุ่มบริษัทเดียวกัน    เช่น  ซื้อยาสีฟันแถมแปรง   ซื้อของเซเว่นแจกซิมทรู (บริษัทในเครือกัน)   ซื้อรถแถมฟีล์มกันแดด  เป็นต้น   แต่นับวันการโปรโมชั่นก็แหกกฎการตลาดไปมาก  สินค้าไม่จำเป็นต้องอยู่ในสายพันธุ์เดียวกันก็ได้   
            จากตัวอย่างนี้เป็นที่ฮือฮามากแม้จะไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร   แต่ทั้งสองฝ่ายก็ได้ด้วยกันทั้งสมาคมฟุตบอลและค่ายศิลปิน   ทางสมาคมได้เอ็นเตอร์เทนแฟนบอลโดยไม่มีค่าใช้จ่าย (เข้าใจว่าไม่มี )   แถมยังจะดึงสาวๆ / หนุ่มๆ วัยรุ่นที่เป็นแฟนคลับ  หรือ ต้องเรียกว่า “โอตะ” สำหรับศิลปิน BNK48  อิอิ ................ออเจ้า อย่าเพิ่งงง  แปลง่ายๆว่าแฟนคลับ / หรือสาวก  นั่นแหละ  ที่อาจจะไม่สนใจฟุตบอลให้เข้ามาชมฟุตบอลซึ่งในภาษาการตลาดคือ....ให้ทดลองใช้ ...แล้วถ้าบอลมันสนุก น่าติดตาม ก็มีโอกาสที่จะเป็นแฟนประจำก็ได้      นอกจากนี้อาจจะดึงแฟน(ตัวจริง)ของแฟนฟุตบอล ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ชายให้เข้ามาชมฟุตบอลในสนามอีกโสตหนึ่งด้วย    
            ในเวลาเดียวกันค่ายศิลปิน BNK48  ก็อาจจะได้แฟนบอลที่ไม่ค่อยได้ดูคอนเสิรต์ก็ได้มีโอกาสชม  มินิคอนเสิรต์ของเหล่าศิลปิน BNK48  หากสนุก / เร้าใจ / น่ารัก /  คิคุ   ..............จนน่าติดตามก็อาจจะเป็น “โอตะ”  ได้ในอนาคต  อิอิ.....เสร็จออเจ้าทั้งขึ้นทั้งล่อง     แล้วท่านลองตรองดูเถิดว่า  BNK48   เดิมผมก็สงสัยว่า จะมี 48 คน แต่พอลองไปหาข้อมูลดูปรากฏว่ามี  29  คนเท่านั้นเอง  แต่ชื่อเป็นการล้อมาจาก AKB48  ซึ่งเป็นวงของญี่ปุ่นเค๊า  ส่วน  48  มาจากชื่อประธานบริษัทที่ชื่อ ชิบะ  ชิคือ 4  บะคือ 8    อาจจะออกงวดนี้ต่อจาก  ออเจ้า 29 งวดที่แล้วก็ด้ .............ไม่เชื่ออย่าลบหลู่เชียว .!!!!  ว่าแต่ว่าครูปรีชารีบไปซื้อและถ่ายรูปลงเฟสบุ้คด่วนก่อนที่หมวดจรูญจะเก็บได้นะ.....ออเจ้า

ขายรัย...ทำไมเราอิน (มาก)

                                                   เครดิตภาพจาก "เฟสบุคไทรสุก"           สองอาทิตย์ก่อนไปเห็นน้องคนหนึ่งที่เป็...