แล้ว.....”ชิม...ช้อป...ใช้
...” ละ ที่นับว่าเป็นอีกอภิมหาแห่งความภูมิใจที่รัฐออกมาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทย ลงทุนไป 10,000 ล้านบาท แน่นอนว่ายอดแรกในกระเป๋าคนละ 1,000 บาท รวมแล้ว 10,000 ล้านบาท
ใช้จ่ายไปหมดเรียบร้อยโรงเรียนลุงตู่
แต่ว่าในกระเป๋าสองที่รัฐให้จับจ่ายใช้สอยและจะมีส่วนคืนเงินให้สูงถึง
15-20%
กระเป๋านี้เรียกได้ว่าแทบไม่ได้ทำงานเรยเพราะที่ผ่านมา (ถึง 9 พย 62
/ข่าวไทยรัฐ 11 พย 62)
มียอดใช้จ่ายแค่ 735
ล้านบาทเท่านั้นเอง........ถามว่าทำไม่ถึงโครงการนี้ถึงไม่ประสบความสำเร็จ ....ด้วยสมองอันน้อยนิดขอวิเคราะห์ให้ฟังแบบเศรษฐศาสตร์ชาวบ้านดังนี้
1.การใช้จ่ายเงินในกระเป๋าหนึ่งที่รัฐประเคนให้คนละ
1,000 บาทนั้น ทำให้เกิดการใช้จ่ายจริงหรือไม่ เพราะหากเรามองดูว่าถ้าเป็นการซื้อเสื้อผ้า อาหาร นั่นก็หมายความว่าเค้าก็เก็บเอาค่าอาหารในมื้อนั้นเก็บเข้ากระเป๋าโดยใช้จ่ายเงินที่รัฐให้มาแทนแล้วค่อยเอาเงินนั้นไปกินในมื่ออื่นๆแทน ภาษาเศรษฐศาสตร์เค้าเรียกว่าดีมานด์เทียม คือไม่ใช้ความต้องการซื้อที่แท้จริง
หรือบางคนไปซื้อเครื่องอุปโภคที่เราเห็นว่าซื้อของเต็มรถเข็นในห้างถามว่าทิชชู่ที่ซื้อไปใช้หมดในอาทิตย์นี้หรือไม่ คือที่ซื้อแยะเพราะได้เงินรัฐเอาไปใช้เช็ดก้นได้
3-6เดือน
ซึ่งปกติก็ต้องซื้ออยู่แล้วเพียงแต่เอาเงินรัฐมาซื้อเก็บไว้ใช้ล่วงหน้าแทนนั่นเอง
2.การใช้จ่ายเงินในกระเป๋าสองที่มีส่วนคืนเงินให้นั้น
หาร้านที่จับจ่ายใช้สอยลำบามากๆเพราะร้านค้าลงทะเบียนเพียงจังหวัดละ 1-2 พันร้านเท่านั้น
แถมร้านเหล่านั้นก็ไม่ตรงกับต้องการซื้อของผู้บริโภค
3.พวกมีตังเค้าก็ไม่ได้ลงทะเบียนเพราะยุ่งยาก หรืออาจจะลงไม่ทัน หรืออาจจะมองไม่เห็นประโยชน์คุ้มแก่การเข้าร่วม
4.ที่สำคัญ.........พวกที่ลงทะเบียนและจะจับจ่ายใช้สอยในกระเป๋าสองนั้น
..*****ไม่มีสตางค์ในกระเป๋า ..**** เพียงพอต่อการจับจ่ายใช้สอยที่เพิ่มขึ้น คือจะใช้จ่ายเท่าที่จำเป็นเพราะเงินหายาก โอทีลด
ตกงาน โบนัสหด ค้าขายไม่คล่อง เงินเดือนขึ้นน้อยหรือไม่ขึ้น ฯลฯ
เรียกว่าเงินหด !! หมดไม่มีใช้ !! แถมพวกที่มีเงินก็ไม่มีอารมณ์ใช้จ่ายยิ่งไปกันใหญ่
สรุปได้ว่า “เกาถูกที่คัน
แต่มันไม่หาย”
!!!!!!!!!
แล้วจะทำอย่างไรดี !!!!!!!!!!!!
ผมเสนอเศรษฐศาสตร์แบบบ้านๆ ถ้าเอางบ
10,000 ล้านบาท
มาทำโครงการ ดังต่อไปนี้
1.จัดให้เกษตรกร ขนผลผลิตมาขายโดยรัฐดูแลรับผิดชอบค่าขนส่งทั้งหมด
เอาเงินเติมน้ำมันให้รถทหารขนผลผลิตจากไร่มาที่ สถานีรถไฟที่ไม่คิดค่าบริการ และขนไปยังตลาด/ ชุมชน ฯลฯ ให้เกษตรกรขายถึงผู้บริโภคโดยตรง จัดที่พักที่นอนนให้ในโรงยิมของ กทม. หรือ
ในจังหวัดนั้น นอนวัดก็ได้ ฯลฯ เพื่อที่จะให้เกษตรกรได้ขายผลผลติที่เราจะทำให้ข้อ
2-4 นี้
ก็จะเป็นการเพิ่มราคาผลผลิตทางการเกษตรโดยตรง
(เติมเงินกระเป๋าอย่างแท้จริง)
2.จัดมหกรรมโอท้อป ช่วงปีใหม่นี้ทุกบริษัทห้างร้านต้องซื้อของขวัญให้กับลูกค้า
ฯลฯ อยู่แล้วก็จัดให้คนซื้อจากโอท้อป
โดยสามารถนำค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไปหักภาษีได้
150 -200 เปอร์เซนต์ ยกตัวอย่าง บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ 500-600 บริษัท ใช้จ่ายเฉลี่ยผมประมาณการว่าบริษัทละ 3
แสนบาท ก็จะเป็นเงินถึง 1,650
ล้านบาท แต่ถ้าบริษัทใหญ่ๆ 100 บริษัทแรก
คงใช้จ่ายส่วนนี้ไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาท
ก็จะเป็นเม็ดเงินอีก 1,000ล้านบาท รวมแล้ว 2-3 พันล้านบาท (หรือมากกว่าก็ได้) ซึ่งจะตกไปยังชาวบ้านโดยตรงทำให้มีเม็ดเงินในกระเป๋าของชาวบ้านเพิ่มขึ้นอย่างแท้จริง และยังได้มรรคผลลดซื้อสินค้าต่างประเทศพวกเหล้า
ช้อคโกแลต ผลไม้ต่างประเทศ ฯลฯได้อีกโสตด้วย
3.จัดให้องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น
พาไปทัศนศึกษา / อบรม / ดูงาน อาชีพ
ที่จังหวัดต่างๆ โดยรัฐออกค่าพาหนะ
และ ค่าที่พักให้
คนเข้าร่วมก็ต้องใช้จ่ายค่าอาหาร ของใช้ ของฝากเอง ก็จะได้ผลผลิตทางด้านความรู้ทางอาชีพ ฯลฯ และ
เงินที่จับจ่ายใช้สอยจาผู้เข้าร่วมโครงการ
4.จัดมหกรรมดนตรี หรือ อีเวนต์
ที่ให้คนมาร่วมกิจกรรมก็จะทำให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย โดยส่วนนี้อาจจะขอรับการสนับสนุนจากห้างร้านใหญ่ๆที่อยากทำกิจกรรมเพื่อสังคม รวมทั้งบริษัทที่จัดเรื่องเอ็นเตอร์เทนนี้โดยตรงงานลดลงอยู่แล้ว
ขอราคาพิเศษจัดไปก็วิน-วิน ครับท่าน
****** ไม่รู้ว่าคิดถูกหรือไม่ เพราะเป็นเศรษฐศาสตร์ชาวบ้าน ที่เสนาบดีคงคิดไม่ถึง..... หรือคิดได้แต่ไม่ทำเพราะ
....ไม่ได้คะแนนเสียง .....ไม่ได้แจกตัง.......และไม่โด่งดังเหมือน “ชิม
ช้อป ใช้” *********