วันพุธที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2563

เรามาถึงจุดนี้ได้อย่าไร ??



            วงจรเศรษฐกิจดูเหมือนว่ามันจะมีวงรอบ 10 / 20  ปี  หรือไม่เป็นข้อสังเกตุที่นักเศรษฐศาสตร์หลายคนได้เคยปรารภไว้   ซึ่งก็ดูเหมือนว่ามันจะไม่ห่างไกลจากข้อสังเกตุนั้นเสียทีเดียว   ลองมาดูย้อนไปซัก 40 – 50 ปี เราก็จะพบว่าในปี 2520  เศรษฐกิจของไทยเราหยุดชะงักเพราะปัญหาราคาน้ำมันที่พุ่งสูงจนกระทบกับต้นทุนการผลิตอย่างแรง  เพราะในช่วงปี  2500-2520 ประเทศไทยอยู่ในยุคพัฒนาอุตสาหกรรมและส่งเสริมการส่งออกเป็นหลัก   และอีกครั้งหนึ่งในปี 2540 ภาวะวิกฤตต้มยำกุ้ง และการลดค่าเงินบาท ทำให้ธุรกิจอุตสาหกรรมต่างๆล้มระเนระนาด  และพอมาถึง พ.ศ.2560 ก็มีภาวะเศรษฐกิจทรงตัว ถดถอยทั่วโลก  หรืออย่างน้อยที่สุดเติบโตช้า  ลามมาถึงปี 2563  ที่ปรมาจารย์หลายท่านส่งสัญญาณว่า  เผาจริง  ตายจริง  ฟุบจริง  ไม่ใช่นิยายแต่เป็นของจริงที่เราต้องเตรียมรับมือ  ปรับตัว   เพื่อความอยู่รอดให้ได้แบบแมลงสาบ  อย่าทำตัวแบบไดโนเสาร์ใหญ่โตแต่ไม่ปรับตัวในที่สุดก็สูญพันธุ์
                คำถามว่า  “เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร? ………….ก็คงจะมีหลายสาเหตุ  เพราะหลายประเทศก็ยังมีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่น่าพอใจ  ไม่ว่าจะเป็น  เวียดนาม  อินโดนีเซีย    ซึ่งพอจะรวบรวมปัญหาของประเทศไทยมาไว้  (พร้อมทั้งข้อคิดเห็นในการปรับแก้ )
1.การศึกษา   ส่งเสริมให้มีการเรียนในระดับ ปริญญาจนล้นเมือง ทั้ง  ตรี  โท เอก  เราเห็นคนทำงานต่ำกว่าวุฒิมากมาย  นอกจากนั้นแล้วการเรียนการสอนที่มุ่งแต่จะให้ท่องจำ  ข้อสอบคำขวัญวันเด็กแต่ละปีเป็นตัวอย่างที่คลาสสิคที่สุดจำไปเพื่อ.....?  ปีหน้าก็เปลี่ยนแล้ว  ค่านิยม 12 ประการ ไม่รู้ว่าวันนี้คนออกค่านิยมจำได้ถึงครึ่งหรือไม่   มีสถาบันอุดมศึกษาในทุกสังกัด รวม  310 แห่ง(รวมวิทยาเขตต่างๆ) จำนวนนักศึกษาเกือบ 2 ล้านคน  แต่ในขณะที่สายอาชีวะ สถาบันของรัฐ 429 แห่ง ของเอกชน 482 แห่ง นักศึกษารวม แค่  1 ล้าน คือประมาณว่าเราผลิตระดับปริญญาเป็นสองเท่าของสายอาชีวะ  ในขณะที่มีแต่ รมต.และ ปลัดที่พร่ำบ่นว่าอาชีวะขาดแคลน  แก้อย่างไร.....ง่ายนิดเดียว  เปิดรับระดับปริญญาให้น้อยลง  เพิ่มระดับอาชีวะ.....จบข่าว    ทำไมทำไม่ได้ ????   ลดระดับ ม.ปลาย ลง เพิ่มอาชีวะระดับ ปวช. ปวส. แทน  ทำไมทำไม่ได้ ???    ที่สำคัญไปกว่านั้นระบบการเรียนการสอนการประเมินผลที่ต้องให้ผู้เรียนมีความคิด  มีประสบการณ์  การเรียนร่วมและทำงานที่เรียกว่า “ทวิภาคี” ซึ่งมีหลายสถาบันได้ดำเนินการอยู่แล้วต้องทำให้เข้มข้นขึ้น   ที่สำคัญลดการผลิตระดับปริญญาให้ได้ 
2.แรงงาน  ปี 2563 นี้คนวัย 60 มีถึง 12 ล้านคนแล้วคิดเป็น 18%   ในขณะที่คนในวัยทำงาน มีอยู่ประมาณ  40 ล้านคนเศษ  ที่สำคัญไม่ยอมทำงานอีกต่างหากเรียกได้ว่าว่างงานแบบสมัคใจ   พม่า ลาว เขมร ถึงเต็มบ้านเต็มเมือง  ประกาศหาแม่บ้าน ให้เงินเดือน 12,000 ยังไม่มีคนไทยมาสมัครทำงานเรย  เพราะชอบอิสระ
3.สินค้าเกษตร  มีราคาตกต่ำที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะหลายปัจจัย  ปัจจัยที่สำคัญคือกำลังซื้อที่ลดลง  และต้นทุนการผลิตที่สูงกว่าประเทศคู่แข่งขัน   นี่ยังไม่นับภัยพิบัติที่ประเทศเรามีน้อยที่สุดก็ว่าได้สำหรับภัยพิบัติที่ไม่อาจบริหารจัดการได้  แต่ที่บริหารจัดการได้ก็ไม่ได้บริหาร  หรือ บริหารไม่เป็น  ดูแค่ภัยแล้งปี 2563 นี่ก็จะเห็นได้ชัด   แถมเราคุยกันมาตั้งแต่ผมจำความได้ว่า  “เราต้องแบ่งโซนนิ่ง”  บริหารจัดการผลผลิตให้พอดีกับความต้องการของตลาด  ผ่านมา 40 ปียังไปไม่ถึงไหน  ทั้งที่ประเทศไทย ดินดี  น้ำดี (ยกเว้นบางช่วงเวลาที่ท่วมบ้า  แล้ง บ้าง)  พัฒนาต้นทุนการผลิตหรือเพิ่มผลผลิตให้สรุปได้ว่ามีต้นทุนที่แข่งขันได้กับโลกที่เปลี่ยนแปลงไป 
4.ค่าแรงที่สูงอย่างต่อเนื่อง  ก็เป็นเหตุปัจจัยเร่งเสริมแต่หากเราได้ผลผลิตที่สูงกว่า  ผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มมากกว่า ปัจจัยปัญหาค่าแรงก็จะไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด  
5.ผู้บริหาร  รัฐบาล  ที่มีวิสัยทัศน์  ทำงานเป็นทีม เพราะที่ผ่านมาเราจะเห็นได้ถึงความขัดแย้งลงลึกไปถึงทุกระดับ  และจะคงอยู่ไปอีกตราบนานเท่านาน 
6.ปัญหาการจัดสรรทรัพยากรและ ความเหลื่อมล้ำ  ยิ่งพัฒนา ยิ่งแย่ลง จนวันหนึ่งจะเกิดวิสัญญีในประเทศไทย เขียนแปะข้างฝาไว้ได้เลย  ยิ่งพัฒนา EEC  ก็จะยิ่งเหลื่อมล้ำ   เพราะรายย่อย SME จะตายหมด  ต้องพัฒนาไปควบคู่กัน  ทั้ง ธุรกิจขนาดใหญ่  ขนาดกลาง  ขนาดย่อม วิสาหกิจชุมชน  ร้านค้าชาวบ้าน
                สุดท้ายแล้วความหวังของประเทศไทยผมฝากไว้กับ  “การท่องเที่ยว  ไม่ว่าจะเป๊นกีฬาเพื่อการท่องเที่ยว  การท่องเทียวเชิงอนุรักษ์   ท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ  ท่องเที่ยววิถีชุมชน ฯลฯ    และ “อาหาร ผลไม้  รวมทั้งผลผลิตที่แปรรูปและสร้างมูลค่าเพิ่ม”   ................ไม่เชื่อคอยดู  2580  คืออีก  17 ปีข้างหน้าค่อยมาอ่าน แต่ตอนนั้นผมคงไม่อยู่แล้ว ............... บายๆๆๆๆๆๆ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ขายรัย...ทำไมเราอิน (มาก)

                                                   เครดิตภาพจาก "เฟสบุคไทรสุก"           สองอาทิตย์ก่อนไปเห็นน้องคนหนึ่งที่เป็...