“ศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก !!”
ผมคงไม่ก้าวล่วงไปเทียบกับ สงครามโลกครั้งที่สองเพราะว่าเกิดไม่ทัน
คงขอเปรียบเทียบกับสิ่งที่ได้ประสบมากันจริงๆในชัวชีวิตผมก็แล้วกันครับ ซึ่งคงมีเหตุวิกฤติทางเศรษฐกิจอยู่สามครั้ง
ครั้งแรกตอนลดค่าเงินบาทในสมัยรัฐบาล
พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์
ซึ่งหลายคนคงจำว่าเกิดเหตุการณ์ในปี 2527
แต่จริงๆแล้วได้ลดมาสองครั้งก่อนหน้าแต่ว่าอัตราการลดไม่มากนักจึงไม่ค่อยได้รับผลกระทบมาก
นัก คือ ในเดือน พฤษภาคม 2524 และ เดือน กรกฏาคม ปี 2524 แต่ในเดือน พฤศจิกายนในปี 2527 เป็นการลดค่าเงินจากเดิม
23 บาทต่อเหรียญสหรัฐ เป็น 27 บาทต่อเหรียญสหรัฐ
เป็นการลดค่าเงินบาทถึง ร้อยละ 15 การลดค่าเงินในครั้งนี้นับเป็นการปรับเปลี่ยนนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนครั้งที่สำคัญในประวัติศาสตร์ครั้งหนึ่ง เพราะสามารถทำให้ประเทศไทยฟื้นตัวจากภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ
และยังเป็นพื้นฐานที่สำคัญที่ช่วยให้ระบบเศรษฐกิจไทยมีความมั่นคงในระยะยาว แต่แน่นอนว่าในช่วงเปลี่ยนผ่านนั้นย่อมต้องได้รับผลกกระทบโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ทำธุรกิจนำเข้า ต้องเสียหายและบริษัทล้มละลายเป็นจำนวนมาก
ครั้งที่สองในปี 2540
ซึ่งมีการลอยตัวค่าเงินบาทในวันที่
2 กรกฏาคม 2540
ทีเราเรียกวิกฤตินี้ว่า “ต้มยำกุ้ง”
เพราะเริ่มต้นที่ประเทศไทย ขยายไปทั่วเอเชีย แม้แต่เกาหลีใต้ก็ยังไม่พ้นจากบ่วงวกฤตินี้ ทำให้ค่าเงินบาท จาก 25 บาท เป็น
52 บาท เรียกได้ว่าคนที่มีหนี้สกุลเงิน
สหรัฐอเมริกาจะมีหนี้เพิ่มขึ้นเท่าตัวชั่วข้ามคืน
ทำให้ธุรกิจทั้งหลายล้มหายตายจากไปเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันการเงินต้องถูกต่างชาติเข้าครอบครองกิจการ
บริษัทที่เป็นหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ถูกขายหนี้ให้กับกิจการของต่างชาติในราคาถูกแสนถูก
เพราะเราไม่ฉลาดพอในการทำสัญญากู้เงินกับไอเอ็มเอฟ แต่ในครั้งนั้นเศรษฐกิจของโลก ของประเทศคู่ค้าหลัก
ยังไม่มีผลกระทบยังคงเติบโตมากน้อยต่างกันตามศักยภาพของแต่ละประเทศนั้น ซึ่งผมขอเปรียบว่าเหมือนกับโรงงานเราไฟไหม้ต้องวิ่งไปกู้หนี้ยืมสินจากทุกภาคส่วน เพื่อมาสร้างโรงงาน
ติดตั้งเครื่องจักรใหม่
เริ่มกระบวนการผลิตและส่งขายลูกค้าทั่วโลกที่ยัง “มีกำลังซื้อ” ซึ่งอันนี้สำคัญมากๆๆ
เพราะเมื่อเราขายของได้ก็มีกำไรมาจ่ายดอกเบี้ยและเงินต้นที่กู้หนี้ยืมสินมา
ระยะเวลาหนึ่งเราก็สามารถปลอดหนี้มีเงินเก็บ ใช้ชีวิตตามปกติเสวยสุขกับความสำเร็จอย่างประมาท.....................จวบจน “โควิด-19” หายนะมาเยือนประเทศไทย และ โลก........ของเรา
ครั้งที่สามคือในปี 2563
นี้เราคงค้นพบสัจธรรมอยู่อย่างหนึ่งว่าการใช้ชีวิตด้วยความประมาท และยินดีกับความสำเร็จเก่าๆ ตลอดจนฝากชีวิตและธุรกิจไว้กับสินค้าตัวเดีย อุตสาหกรรมเดียว ลูกค้ากลุ่มเดียว นั้นมันเป็นความเสี่ยงอย่างยิ่ง วันนี้เราคงเทียบเคียงได้ว่า “ทุกประเทศเกิดไฟใหม้” และ แน่อนว่าอนาคตอันสั้นคงไม่มีกำลังซื้อ
หรือ ขาดกำลังซื้อกันทั่วโลก
โดยไอเอมเอฟประมาณการว่าในปี 2563 นี้เศรษฐกิจโลก จะติดลบ -3 % โดยไทยเราจะติดลบ – 6 % เรียกได้ว่าลบกันทั้งโลก
มีไม่กี่ประเทศที่เติบโตเป็นบวกแต่ก็น้อยมาก โดยเฉพาะคู่ค้าใหญ่ของเราคือ จีน
จะเติบโตเพียง 1.2 % เท่านั้นจากที่เคยเติบโตถึงสองหลัก หรืออย่างน้อย
7-8 % ในช่วงปีหลังนี้
นั่นแสดงว่าแม้ว่ากิจการที่ไม่ล้มละลายไปในช่วงโควิดนี้แม้จะดำเนินกิจการต่อไปได้ก็จะไม่สบายเหมือนเมื่อก่อนนี้
เพราะลูกค้าจะซื้อของน้อยลงเพราะทุกประเทศขาดกำลังซื้อ หรือกำลังซื้อลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับสินค้าที่ไม่จำเป็น หรือ มีความจำเป็นน้อยลง
ในเมื่อมีเงินจำกัดก็ต้องเลือกใช้จ่ายตามความจำเป็นเฉพาะหน้าเป็นสำคัญ สินค้าที่ฟุ่มเฟือยหรือเกินควาจำเป็น หรือ
รอได้ ก็จะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงกว่าสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป...........
ธุรกิจหนึ่งซึ่งได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ
“ท่องเที่ยว” และ อุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง เช่น
สายการบิน โรงแรม รถทัวร์
มัคคุเทศน์ ร้านอาหาร
(ที่พึ่งนักท่องเที่ยวเป็นหลัก) ฯลฯ
แม้โควิด19จะผ่านไปคงต้องใช้เวลานานพอสำควรกว่าจะกลับมารุ่งเรื่องเหมือนในอดีตได้อีก เพราะแม้ว่าจะเปิดให้เดินทางท่องเที่ยวได้แล้วแต่กำลังซื้อที่ขาดหายไป
ความจำเป็นในการใช้เงินเพื่อการท่องเที่ยวเพราะว่ามีเงินจำกัด และอารมณ์ตลอดจนการกลัวการติดเชื้อ หรือ โรค
ต่างๆ
คงจะยังฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกของนักท่องเที่ยวที่แม้จะมีเงินแต่ก็กล้าน้อยลงที่จะตระเวนเที่ยวแบบไม่ระมัดระวังอย่างแต่ก่อน
มาวันนี้ 27 เมษา 2563 เราได้เห็นความแตกต่างกันของสองสายการบิน
คือ การบินไทย กับ แอร์เอเชีย
โดยการบินไทยยังวนอยู่กับการทำแผนฟื้นฟูกิจการ เพราะล่าสุดกระแสเงินสดสามารถจ่ายเงินเดือนให้พนักงานและเจ้าหนี้ได้แค่อีกหนึ่งเดือนเท่านั้นเอง
ซึ่งถ้าเป็นกิจการเอกชนแล้วคงล้มละลายไปหลายปีก่อนแล้วด้วยเหตุผลหลายประการ แต่ด้วยความเป็นรัฐวิสาหกิจก็มีคำถามว่า
“ควรปล่อยให้การบินไทย ล้มหรือไม่ ? เ
พราะตอนนี้ไม่มีรายได้เลยมีแต่รายจ่าย
...............และถ้ายังระงับบินไปอีกสามสี่เดือนอะไรจะเกิดขึ้น !!!
แต่กับสายการบินแอร์เอเชียประกาศเปิดตัวชุดพนักงานบริการบนเครื่องบิน
ที่ออกแบบมาเป็นชุดป้องกันไวรัสสำหรับลูกเรือเรียกได้ว่าพร้อมเปิดบริการ ซึ่งคาดว่าเส้นทางในประเทศอาจจะเปิดได้ 1 พค
หรือ 15 พค 2563 นี้
เป็นการคิดแบบนักธุรกิจที่พร้อมเพื่อการอยู่รอดแม้ว่าจะไม่สดใสเหมือในอดีตก็ตาม
เป็นการวัดกันว่าจะสามารถสร้างรายได้เพียงพอต่อการดำรงธุรกิจ คือ
พอจ่ายจ่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในแต่ละเดือนได้หรือไม่ แต่สุดท้ายผลประกอบการ และ กระแสเงินสด
จะเป็นคำตอบสำหรับคำถามนี้นั่นเอง ......... แล้วคุณละเตรียมพร้อมหรือยังสำหรับ POSTCOVID-19
ก็คงเป็นคำตอบได้ว่า “POSTCOVID ปิด ??....หรือ
เปิด ??.....