ชั่วโมงนี้คงไม่มีข่าวใดเป็นที่น่าสนใจไปกว่า “ลิซ่า” แห่งวงแบลคพิ้งค์ ซึ่งปกติน้องเค้าก็ดังอยู่แล้วในฐานะศิลปินที่เป็นที่ชื่นชอบในระดับโลก โดยดูได้จากยอดตามในไอจี
22 เมษายน 2564 ยอดติดตามไอจี ลิซ่า ทะลุ 32 ล้านฟอลโลว์เวอร์ ขึ้นอันดับ 1 ผู้ติดตามไอจีมากที่สุดใน ไทย และ เกาหลีใต้ แต่พออกเพลงใหม่เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2564 แค่ 9 วันปรากฎการณ์ “ลิซ่า” มีผู้เข้าชมแล้ว 178.85 ล้านครั้ง และยังเพิ่มยอดผู้ติดตามในไอจีทำให้ลิซ่า ขึ้นเป็นอันดับ 1 ใน ไทย และเกาหลีใต้ รวมถึงอันดับที่ 15 ของเอเชีย และอันดับที่ 18 ของโลก ยอดติดตามของเธอ 55 ล้าน
แม้ใจเอ็มวีเพลงของเธอซึ่งแม้ผมจะทราบว่าลิซ่าดังมากๆๆ ในฐานะนักร้องเกิลร์กรุ๊ปที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในเกาหลีใต้และโลก ในฐานะนักร้องหนึ่งในสี่ของวงแบ็ลคพิ้งค์ แต่ก็ไม่เคยเข้าไปดูเอ็มวีแม้แต่ครั้งเดียว แต่ครั้งนี้กระแสดมันแรงมาจนต้องเข้าไปดูแบบเต็มๆและดูอย่างละเอียด ซึ่งเดิมนั้นผมคิดว่าในเอ็มวีนี้จะมีฉากที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยมากมาย แต่ในฉากที่มีรัดเกล้าหรือสิ่งเที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยนั้น แค่ 29 วินาที คือจากนาที่ที่ 2.26-2.66 เท่านั้น แต่สามารถสร้างผลกระทบและสร้างกระแสและผลกระทบได้อย่างมากมายต่อสังคมไทย
ทำให้ร้านค้าและผู้ผลิตรัดเกล้าซึ่งปกติขายวันหนึ่งได้ไม่กี่ชิ้นนั้น ขายดีขึ้นจนผลิตไม่ทันและของขาดตลาดในที่สุด ทำให้ผู้คนสนใจแม้จะถกเถียงกันว่ามันคือ ชฎา หรือ รัดเกล้า และมันแตกต่างกันอย่างไร ก็ได้องค์ความรู้เพิ่มเติมจากกระแสอันนี้ ยิ่งลิซ่าให้สัมภาษณ์ว่าอยากกลับไปกิน “ลูกชิ้นยืนกิน” ที่บุรีรัมย์ โอ้ย...เท่านั้นแหละกระแสลูกชิ้นยืนกิน ทีขายวันละไม่กี่ร้อยบาทที่หน้าสถานีรถไฟบุรีรัมย์ก็ขายดีเป็นพันเป็นหมื่นขึ้นมาทีเดียว ซึ่งเดิมทีลูกชิ้นยืนกินนี้ก็เป็นวัฒธรรมย่อยของจังหวัดบุรีรัมย์อยู่แล้ว เพราะเป็นของกินเล่นที่คนในจังหวัดกินกันเป็นประจำโดยเฉพาะ นักเรียน นักศึกษา และคนหนุ่มสาว และขยายต่อไปถึงนักท่องเที่ยวตามลำดับ
แต่ผมก็สงสัยว่าปกติลูกชิ้นก็ยืนกินอยู่แล้ว แล้วมันต่างจากที่หน้าโรงเรียนตอนที่ผมเด็กๆหรือไม่อย่างไร เพราะตอนที่ไปเป็นวิทยากรในการฝึกอบรมครั้งหนึ่งที่บุรีรัมย์ทางผู้จัดก็บอกว่าอาจารย์ต้องไปกิน “ลูกชิ้นยืนกิน”ก็เลยจัดไปตามระเบียบ ซึ่งก็พบว่ามันก็เป็นลูกชิ้นทอดธรรมดาๆที่ทุกแผงขาย(น่าจะ)มาจากโรงงานเดียวกัน (หรือไม่กี่โรงงาน) คงแตกต่างกันที่น้ำจิ้มที่แต่ละร้านก็ปรุงในรสชาดที่แตกต่างกันออกไป
แต่นี่คือเสือปืนไวจังหวัดบุรีรัมย์เตรียมจัดเทศกาลลูกชิ้นยืนกิน 17-23 ก.ย. นี้ ตามรอยลิซ่า BLACKPINK แถมยังมีคนหัวใสนำมาขายในช้อปปี้อีกด้วย เรียกว่าเกาะกระแสกันอย่างรวดเร็ว ซึ่งก็เป็นเรื่องดีที่ลิซ่ามาช่วยให้คนไทยนั้นได้คลายความเครียดจากพิษโควิด จากพิษเศรษฐกิจ จากพิษการเมือง รวมทั้งช่วยผู้ผลิต พ่อค้า ทั้งรัดเกล้าและลูกชิ้นให้พอลืมตาอ้าปากได้ เหมือนช่วงที่น้องเทนนิสที่ได้เหรียญทองเทควันโดโอลิมปิคก็จุดกระแสการเล่นเทควันโด ให้กลับมาคึกคักได้อีกและกระแสนี้ ทั้งลิซ่า และน้องเทนนิส คงจะคงอยู่ไปอีกนานพอสมควรทีเดียว เพราะทั้งสองยังสามารถมีผลงานทั้งทางตรงและทางอ้อมที่จะช่วยยังประโยชน์ให้คนไทยได้อีกยาวนาน
แต่กระแสในหมู่ชายหนุ่มช่วงนี้คงไม่พ้น “น้องไข่เน่า” ผู้ซึ่งมีความคิดว่าเซ็กซ์และเรือนร่างเป็นของตนเอง และทำคลิปวีดีโอเรทอาร์ซึ่งได้รับความนิยมอย่าล้นหลาม ลงในแพลทฟอร์มที่ชื่อว่า “ONLYFAN.COLM ” และเปิดรับสมาชิกแบบเสียตัง คือคนลงคลิปก็ได้สตางค์หลังจากหักให้เจ้าของแพลทฟอร์มไปแล้วเรียกได้ว่ามีรายได้เป็นหลักล้านเลยทีเดียว ซึ่งเธอและแฟนหนุ่มที่เป็นพระเอกในคลิปทั้งหลายนั้น เป็นเสรีนิยมแบบสุดโต่งในขณะนี่ครอบครัวและสังคมไทยยังไม่ให้การยอมรับถึงขนาดนี้ ถ้าจะว่าไปแล้วในฐานะปัจเจคชนพฤติกรรมของน้องไข่เน่านั้นก็ไม่แปลก แต่พอมีสังคม ครอบครัว และวัฒนธรรมมาเป็นองค์ประกอบแล้ว สังคมคงต้องตั้งคำถามว่าพฤติกรรมแบบใดของน้องๆทั้งสามคน คือ “ลิซ่า” “เทนนิส” และ “ไข่เน่า” สมควรที่เยาวชนจะเอามาเป็นแบบอย่าง?? อันนี้ต้องให้คนรุ่นใหม่เป็นผู้ตอบคำถาม เพราะว่าอีกไม่กี่ปีพวก สว.ทั้งหลายก็จะจากโลกนี้ไปแล้ว..... จบแบบห้วนๆ เพราะต้องรีบไปค้นคลิปน้องไข่เน่า 55555555