ช่วงปลายปีก็จะเป็นช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ และอาจจะต่อเนื่องได้ไปถึงเทศกาลตรุษจีน ที่ปี 2566 นี้จะมาเร็วกว่าปกติคือปลายเดือนมกราคม 2566 ซึ่งในช่วงเวลานี้ก็จะเป็นช่วงเวลาของการขายของเพราะผู้คนจะจับจ่ายใช้สอยกันมากกว่าปกติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของของขวัญ ของกำนัล การท่องเที่ยว ข้าวปลาอาหาร ฯลฯ และยิ่งในช่วงที่เศรษฐกิจเพิ่งฟื้นตัวหรือผงกหัวจากสงครามโควิด-19 ธุรกิจทั้งหลายก็ยิ่งมีความจำเป็นที่จะต้องเร่งมือในการหาวิธีการในการดึงเงินจากกระเป๋าของผู้บริโภคที่มีอยู่จำกัด ให้มาจับจ่ายใช้สอยกับธุรกิจของตนเองให้มากที่สุด แน่นอนการแข่งขันก็จะสูงไปตามความยากของการดำเนินธุรกิจในภาวะปัจจุบัน
การโปรโมชั่น.......ทั้งหลายจึงถูก “รังสรรค์” เพื่อให้ติดตา ต้องใจ และให้ผู้บริโภคใฝ่หา
ซึ่งขอทบทวนว่าเครื่องมือในการโปรโมชั่นมีอยู่ 4 เครื่องมือหลัก คือ การโฆษณา การประชาสัมพันธ์ การส่งเสริมการขาย และ การส่งเสริมผ่านพนักงานขาย ซึ่งหลักการดังกล่าวนั้นยังคงอยู่ แต่คงจะต้องพัฒนาและปรับไปให้ตรงกับ “จริต” และ “บริบท” ตลอดจน “เทคโนโลยี” ที่เปรเปลี่ยนไปให้เหมาะสม ทั้งนี้ก็เพื่อ หยุด และ ดูด เงินในกระเป๋าของผู้บริโภคนั่นเอง
หลักการโปรโมชั่น ถ้าจะสรุปบรรทัดเดียวสั้นๆง่ายๆ คือ
“แปลก ใหม่ ใหญ่ ดัง เป๊ะ ปัง อลัง เวอร์”
ซึ่งจะทำให้โปรของเรามันแรงและแซงทางโค้ง เพื่อเข้าเส้นชัยได้ในที่สุดนั่นเอง สิ่งต่างๆเหล่านี้อาจไม่จำเป็นต้อง “ใหม่ในจักรวาล” แต่อาจจะเก่าที่อื่นมาใหม่ที่นี่ก็ได้ เช่น
ข้าวโพดคั่ว 199 บาท ที่ลูกค้าหาอะไรมาใส่ก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นถุง ถัง กาละมัง OMG ซึ่งก็อาจจะใหม่ในบ้านเราที่ทาง เอสเอฟ เอามาเล่นเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน แต่มุขนี้มีเล่นแล้วที่เวียดนาม เมื่อปลายเดือนตุลาคม แต่ที่เวียดนามแจกฟรีมีข้อแม้ว่าห้ามใช้ถุง กับกล่อง
ซึ่งก็สร้างความแรงเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ได้ในระดับติดลม ซึ่งแน่นอนที่สุดกิจกรรมนี้คงทำให้เอสเอฟขาดทุนไปพอสมควร แต่ถ้าเทียบกับข่าวในสื่อต่างๆตลอดจนการจดจำแบรนด์ได้ก็นับว่าประสบความสำเร็จ
ในช่วงเวลาเดียวกันก็จะเป็นการฉลองครบรอบ 28 ปี เมเจอร์ ค่ายคู่แข่งของเอสเอฟซึ่งได้จัดโปร “ดูหนัง 28 บาท” ที่สามารถเรียกแขกและลุกค้ารวมทั้งสร้างความจดจำได้ว่าเมเจอร์อายุ 28 ปีแล้ว ท่านที่พลาดโอกาสก็รอปีหน้าก็จมีอีกอย่างแน่อนอนแต่เป็น 29 บาท เพราะเห็นค่ายนี้ใช้โปรนี้มาหลายปีแล้ว แน่นอนว่าโปรนี้เมเจอร์ได้ผู้คนเข้าชมภาพยนต์ในราคาลดราคานั้นเอง ซี่งดูแล้วเสมือนว่าเมเจอร์ไม่ขาดทุนแน่ แต่จาจจะลดกำไรลงเพราะ “ธุรกิจบริการไม่ใช้มันหายไป” คือเมื่อถึงรอบก็ต้องฉายไม่ว่าจะมี คนดูแค่ 30 คน หรือ เต็มโรงที่ 200-500 คนก็ตาม แต่ถ้าผู้ชมเข้าชมมากกว่าปกติก็คงทำรายได้มาชดเชยกำไรที่หดหายไปได้ สรุปว่ามีแต่ได้น้อยหรือได้มากนั่นเอง...
ล่าสุด “การเปิดสาขา สุกี้ ตี๋น้อย” ที่บาปะอิน ในช่วงต้นเดือนธันวาคมนี้จัดโปรกระเทกใจมาก ** 219 บาท กินเที่ยงวันยันเช้า *** แรงสสสส์ แซงทางโค้งไปเรยครับพี่น้อง.................