หลักพื้นฐานของนักการตลาดทุกคนมาจากแนวคิดของ ฟิลิปส์ คอตเลอร์ ที่นับได้ว่าเป็นปรมาจารย์ทางการตลาดแห่งศตวรรษก็ว่าได้ เพราะปัจจุบันท่านอายุ 92 ปี แต่ยังทรงพลังแห่งการเขียนหนังสือทางการตลาดมากกว่า 80 เล่ม ท่านเป็นต้นคิดของแนวคิด 4 P ทางการตลาด อันได้แก่ PRODUCT PRICE PLCE PROMOTION แม้ภายหลังจะมีแนวคิดเป็น 6 หรือ 7 P ก็ตามล้วนแตกมาจาก 4P ของคอตเลอร์ทั้งสิ้น แล้วในส่วนของ PROMOTION คนที่ไม่ได้อยู่ในแวดวงก็มักจะนึกถึงแต่ ลด แลก แจก แถม แต่เพียงอย่างเดียว ซึ่งไม่ถูกทั้งหมดเพราะว่า การลดแลกแจกแถมเป็นเครื่องมือ ของ SALE PROMOTION เท่านั้น ในส่วนนี้ยังมี ***** ADVERTISING หรือการโฆษณา / PUBLIC RELATION การประชาสัมพันธ์ / และสุดท้ายคือ SALE FORCE คือการมุ่งเน้นไปส่งเสริมให้พนักงานขายขายสินค้าให้มากขึ้น ด้วยวิธีการต่างๆที่มักจะใช้กับ สินค้าอุตสาหกรรม หรือ สินค้าทีเป็นการขายตรง หรือ MLM นั่นเอง
เราวกกลับมาเรื่องของบทความนี้ คือ “โปรแรงๆ ไม่ต้องแซงทางโค้ง “ นั่นก็คือ SALE PROMOTION ที่เรียกได้ว่าลดแลกแจกแถมแบบที่ “แรง และ โดน “ เพราะจะสร้างได้ทั้งกระแส และกระสุน (เงินสด/ยอดขาย) เรียกได้ว่าหากออกโปรนี้มา “ต้องหยุดลูกค้า” ได้อย่างชะงักงั้น ไม่ซื้อแล้วจะเสียดายไปตลอดชีวิตอะไรปานนั้น ซึ่งการออกโปรแบบนี้จะต้องระมัดระวังว่าอย่างใช้เวลานานเกินไป หรือทำถี่เกินไป เพราะมันจะทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าจะซื้อเมื่อไหร่ก็ได้ เหมือนพวกที่ขายของทางทีวี คอลลาเจ้น ครีมหน้าใส ฯลฯ ตอนนี้ไม่ค่อยกล้าซื้อแล้วเพราะกลัวมีโปรแรงกว่าถูกกว่า ซึ่งสมัยหนึ่งกระทะโคเรียคิงใช้โปรแรงจนแซงตกถนนไปเรยตอนนี้มีใครซื้อ ใครใช้บ้างยกมือขึ้น หลายคนไม่กล้ายกเพราะถูกเค้าหลอกแบบเต็มใจให้หลอก
ตัวอย่างที่เราเห็นได้ว่ามีโปรนี้ออกมาแต่เล่นได้นานหลายปี น่าจะเกิน 10 ปีขึ้นไปก็คือ S&P วันพุธ ลด 20% ซึ่งเป็นวันกลางสัปดาห์ที่ยอดขายน้อยที่สุด สามารถสร้างความสนใจและการจดจำได้เป็นอย่างดี
เมื่อสองเดือนก่อนผมไปซื้อของที่โลตัส ปรากฏว่ามีโปรแรงเรียกได้ว่าไม่ซื้อจะเสียดายสุดๆ คือ ดันกิ้นโดนัท ซื้อ 6 แถม 12 มันก็คือ ซื้อ 1 แถม 2 นั่นเอง แต่บังคับว่าต้องซื้อ 6 เท่ากับว่าสามารถเพิ่มจำนวนซื้อได้โดยปริยาย ผมเองไม่กินโดนัทมาเกือบสิบปี เพราะเรื่องไขมัน แต่พอเจอโปรนี้ซื้อซิครับรออะไร แต่ไม่ได้ซื้อมาทานเองนะครับ จัดไปสองชุด 36 ชิ้น ในราคา 12 ชิ้น แบกกลับมา 6 กล่องแจกพนักงานในสำนักงาน สำราญใจไปเรยครับ
หรืออีกตัวอย่างหนึ่งที่แรงยิ่งกว่าโดนัท ก็คือฮ่องกงที่ตอนนี้พิษโควิดซัดเอาฮ่องกงเซและทรุดอย่างน่าตกใจ แม้สถานการณ์โควิดจะคลีคลายลงตั้งแต่ต้นปี 2565 ก็แต่ ผ่านมา 1 ปีครึ่ง สถานการณ์แม้จะดีขึ้นแต่ก็ไม่ดีพอที่จะทำให้ฮ่องกงนั้นฟื้นตัวทางเศรษฐกิจได้ดีพอ เพราะว่าธุรกิจหลักคือการท่องเที่ยว และ ช้อปปิ้ง การบริหาร กับ ศูนย์กลางทางการเงิน ไม่มีหน่วยการผลิตทางเศรษฐกิจที่สำคัญอื่นๆ จัดโปรแบบว่าตั๋วเครื่องบิน (คาเธ่ย์แปซิฟิก) ซื้อ 1 แถม 1 แค่ 10,500 บาท / คน ได้กระเช้าขึ้นไปกลับนองปิง มูลค่า 1,400 บาท รถไฟไปกลับในเมือง 700 บาท บัตรจุดชมวิวที่ชั้น 100 ตึก ไอซีซีที่เป็นตึกที่สูงที่สุดแห่งใหม่ในฮ่องกง 450 บาท และยังมีบัตรช้อปปิ้งอีก 450 บาท รวมแล้วประมาณ 3000 บาท เท่ากับว่าค่าตั๋วเพียง 7,000 บาทเศษ ซึ่งปกติประมาณ 20,00 ขึ้น หรือเฉียดๆสองหมื่น แต่ได้คนไปเที่ยวสองคนเพราะซื้อ 1 แถม 1 นั่นเอง
แต่สิ่งที่ตามมาคือรายได้จากโรงแรม อาหาร ของที่ระลึก ช้อปปิ้ง ฯลฯ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวต่างๆก็จะได้เพิ่มลูกค้าทั้งทางตรง (คือบัตรเข้า) และทางอ้อม (ขายอาหาร ของที่ระลึก ฯลฯ) เพราะธุรกิจบริการไม่ใช้มันหายไป ไม่ว่าจะเป็นสายการบินคาเธ่ย์แปซิฟิก รถไฟฟ้าเข้าเมืองจากสนามบิน กระเช้านองปิง จุดชมวิวที่ตึกสูงที่สุด เหล่านี้ไม่ว่าจะมีคนน้อยหรือคนมาก ธุรกิจก็ต้องเปิดให้บริการก็จะเป็นการเติมเต็มผู้รับบริการในการที่จะเพิ่มยอดขายทั้งทางตรงและทางอ้อม ดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นนั่นเอง
แน่อนนครับก็ได้จัดไปเรียบร้อย 1-3 กันยายน 2566 จะไปฉลองครบรอบแต่งงาน 39 ปี ที่ฮ่องกง จากโปรโมขั่นนี้ครับพี่น้อง อ้อ...งานพิเศษอย่างนี้ก็ตัองจัดร้านอาหารที่สุดชิค และ หรู เป็นพิเศษ งบประมาณ สองคนอีก 10,000 แล้วค่อยกลับมากินมาม่าบ้านเราอีกสามเดือนก็ได้ สุขสันต์วันครบรอบแต่งงาน อิอิ......
***********fffvvv