วันจันทร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2566

เม็งกะลาบา เมียนมาร์ จับใจ

 

เม็งกะลาบา  เมียนมาร์ จับใจ

26 ธันวาคม 2566


             จากข้อมูลของกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน  ไตรมาสที่ 1/2566 กระทรวงแรงงาน ระบุตัวเลขแรงงานต่างชาติในไทยมีจำนวน 2,743,673 คน แบ่งเป็น เมียนมา 1.86 ล้านคน, กัมพูชา 4.14 แสนคน, ลาว 2.10 แสนคน และเวียดนาม 2,230 คน และแรงงานสัญชาติอื่นๆ 3 แสนคน ทั้งนี้ แรงงานต่างด้าวในไทยคิดเป็น 6.92 % ของจำนวนแรงงานทั้งหมดในไทย

แต่ข้อเท็จจริงยังมีแรงงานต่างด้าวอยู่ในประเทศไทยไม่น่าจะน้อยกว่า  10 ล้านคน และ เป็นเมียนมาร์ถึง 6-7 ล้านคน กระจายอยู่ทั่วประเทศแต่คาดว่าน่าจะมากสุดที่จังหวัดสมุทรสาคร  ซึ่งเป็นแหล่งโรงงานอุตสาหกรรม และ ธุรกิจการประมงเป็นหลัก   ซึ่ง Media Intelligence Group ได้ประเมิณมูลค่าทางเศรษฐกิจของชาวเมียนมาร์ในประเทศไทยสูงถึง 0.85-1.25 ล้านล้านบาทต่อปี  ซึ่งนับเป็นตัวเลขที่มีนัยะสำคัญทางเศรษฐกิจ   หากเราเอาตัวเลขกลมๆก็ 1.0 ล้านล้านบาท  คือเป็นสองเท่าของงบประมาณที่รัฐบาลท่านนายกเศรษฐา  เตรียมที่จะแจกคนไทยคนละ 10,000 บาทในปีหน้า

แต่ว่ายอดเงิน 1.0 ล้านล้านบาทนี้ไม่ได้หมุนเวียนอยู่ในประเทศไทย  เพราะไม่ทราบแน่ชัดว่าเงินรายได้ของแรงงานเมียนมาร์ในไทยนั้นถูกส่งกลับไปประเทศบ้านเกิดเท่าใด   เพราะไม่ได้ผ่านระบบธนาคาร    แต่ถ้าตั้งบนสมมุติฐาน 50 เปอร์เซนต์ (แต่ข้อเท็จจริงน่าจะส่งกลับไปมากกว่านั้น )   ก็จะประมาณการว่ามีเงินหมุนเวียนในประเทศไทยสร้างจีดีพีไทยถึง  0.5 ล้านล้านบาท หรือ 5 แสนล้านบาทนั่นเอง 

แล้วเราจะหาทางดึงรายได้ของชาวเมียนมาร์เหล่านี้ให้จับจ่ายใช้สอยมากขึ้นในประเทศไทยได้อย่างไร  ก็คงต้องเฝ้ามองพฤติกรรมของแรงงานเหล่านี้ว่ามีพฤติกรรมอย่างไร  เพื่อจะดึงให้เขาได้จับจ่ายใช้สอยเพิ่มมากขึ้น  ซึ่งจาก 5 แสนล้านเป็นอย่างน้อยที่ประเมินว่าส่งกลับบ้าน   หากดึงได้ 1-2 แสนล้านก็มีนัยสำคัญต่อจีดีพีประเทศไทยแล้วครับ

การกรุต้นการบริโภคของแรงงานต่างด้าวเหล่านี้สามารถทำได้อย่างไม่ยาก  หากหน่วยงานรัฐเห็นความสำคัญและเม็ดเงินนี้ก็สามารถทำได้ด้วยการเพิ่มกิจกรรมของแรงงานต่างด้าว  ซึ่งรวมถึงชาว ลาว กัมพูชาด้วย  ก็ด้วยการจัดกิจกรรมต่างๆให้คนเหล่านี้ออกมาใช้สอย  โดยกิจกรรมนั้นจะต้องสอดรับกับพฤติกรรม  ของชนชาตินั้นๆ  ไม่ว่าจะเป็นพิธีทางศาสนา  ทางการบันเทิง    โดยอาจจะมีพรีเซนต์เตอร์ หรือ ดารา นักร้อง ที่เป็นขวัญใจของแรงงานแต่ละชาตินั้นๆ เป็นจุดดึงดูด

ผมเคยแนะนำทีมฟุตบอล หรือ ฟุตซอล หรือ วอลเล่ย์บอล  สมุทรสาครให้มีนักกีฬาบิ๊กเนมของชาวเมียนมาร์มาเป็นนักกีฬาในทีมนั้นๆ  แต่ก็ต้องเอาที่มีฝีมือและช่วยทีมได้ในระดับหนึ่ง   เพื่อดึงดูดแฟนคลับให้ติดตาม    และซื้อบัตรเข้าชมการแข่งขันเพราะแรงงานเหล่านี้หยุดงานวันอาทิตย์วันเดียว  ไปไหนไกลไม่ได้เพราะทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย    ดังนั้นการจัดกิจกรรมใดๆที่โดยกับจริตของแรงงานเหล่านี้    โดยจัดในวันอาทิตย์และในแหล่งรวมแรงงานเพื่อไม่ต้องเดินทางไกล   ก็จะเป็นการตอบโจทย์  

หรืออย่ากระนั้นเลยจัดงาน  “เมียนมาร์แฟร์อินมหาชัย”  ไปเลย  จัดแบบว่า ปีละ 2 ครั้ง  เชื่อได้ว่าคนจะมาร่วมงานเป็นแสนๆ คนต่ออีเวนต์อย่างแน่นอน   ซึ่งในสมุรสาครจำนวแรงงานในระบบที่ขึ้นทะเบียนไว้มี  2.6 แสนคน เป็นแรงงานเมียนมาร์ 1.4 แสนคน  ใช่ครับที่ไม่ได้ลงทะเบียนน่าจะอีกเท่าตัวหนึ่งเป็นอย่างน้อย

ซึ่งแน่นอนการใช้ภาษาท้องถิ่นของชาตินั้นๆย่อมเป็นเครื่องแบรนด์จะดึงดูดลูกค้าชาตินั้นๆให้จดจำ  และเป็นที่ชื่นชอบในแบรนด์นั้นๆ   ต้นแบบในเรื่องนี้ก็คื่อสินค้าในอเมริกาที่กลุ่มเป้าหมายเป็นฮิสปานิค  คือกลุ่มชาติที่ใช้ภาษาสเปนเพื่อการสื่อสาร   ก็จะมีพรีเซนเตอร์  แนวคิดโฆษณา  ประชาสัมพันธ์  และภาษาที่ใช้สอดรับกับชาติเหล่านั้น  ที่เราเห็นอย่างชัดเจนจับต้องได้สำหรับประเทศไทยคือ   น่าจะ 30 ปีที่แล้วเอทีเอ็มในจังหวัดสมุทรสาครจะมีภาษาเมียนมาร์ให้เลือกด้วย

และปัจจุบันนี้หลายๆแบรนด์ก็ได้ใช้แนวคิดนี้มาเพื่อสื่อสารกับลูกค้าต่างชาติเหล่านี้  โดยในเว็บ  หรือ  ในแอป  จะมีภาษต่างๆให้เลือกมากขึ้นจากเดิมที่มีแต่ ไทย จีน อังกฤษ หรือ ญี่ปุ่น  ก็จะมีลาว  เขมร เมียนมาร์  มาเป็นตัวเลือกอีกด้วยขึ้นอยู่กับลูกค้าเป็นชาติใดๆ   ที่ชัดเจนที่สุดคือ  ค่ายมือถือเอไอเอสได้เริ่มทำมาหลายปีแล้ว   ธนาคาร  รวมทั้งสินค้าอื่นๆก็ต้องปรับตัว  ปรับภาษา   ให้สอดรับกับกลุ่มเป้าหมายนั่นเอง

 

           

 

 

 

ขายรัย...ทำไมเราอิน (มาก)

                                                   เครดิตภาพจาก "เฟสบุคไทรสุก"           สองอาทิตย์ก่อนไปเห็นน้องคนหนึ่งที่เป็...