“ซื่อกินไม่ไม่หมด ... คดกินไม่นาน “
28 พฤศจิกายน 2567
ชื่อหัวเรื่องในบทความนี้เป็นคำสุภาษิตไทยพื้นๆ ที่คนรุ่นผม (เบบี้มูมเมอร์ 60+ ) คุ้นเคยและถูกปลูกฝังมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย เพื่อเป็นคติเตือนตนในการดำรงตน ในการดำเนินธุรกิจ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าคนรุ่นใหม่อาจจะคุ้นเคยหรือไม่ เพราะว่าหลังๆรู้สึกว่าหลักสูตรการศึกษาเราได้ปรับเปลี่ยนไปตามบริบทของสังคม และพหุวัฒนธรรม จนขาดเสียซึ่งศีลธรรมจรรยาที่งดงาม
เราจะเห็นได้ว่าในปี 2567 นี้มีกรณีเจ้าของธุรกิจได้ดำเนินกิจการด้วยความไม่ซื่อสัตย์อยู่มาก ซึ่งก็ได้ถูกดำเนินคดีไปทั้งเจ้าของธุรกิจ ผู้บริหาร ดารา นักแสดง ทนาย รวมทั้งญาติมิตรบุคคลผู้เกี่ยวข้องกับผู้ดำเนินการที่ผิดกฏหมาย หรือผิดศีลธรรมอันดี
กรณี ร้านทองแม่ ต. กับ ป๋า บ. ก็ไม่รู้เอาอะไรคิดว่าขายทองแบบขาดทุน เอาทองปลอมมาขาย เรียกได้ว่าโกงกันแบบซึ่งๆหน้า แต่ก็มีผู้หลงเชื่อเป็นจำนวนมาก ซึ่งลูกค้าเหล่านั้นขาดสติในการพิจารณา ข้อเท็จจริงว่าใครจะเอาของมาขายขาดทุน หรือไม่ได้เฉลียวใจเลยว่าจะเป็นทองปลอมเพราะเราดูแต่พฤติกรรม “ทำบุญแล้ว ทำบุญอยู่ ทำบุญต่อ” ซึ่งเป็นภาพลวงตาทั้งสิ้น
บริษัทขายตรงยักษ์ใหญ่ ที่มีบอสทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น #บอสพอล #บอสดารา ซึ่งมีผู้เสียหายเป็นจำนวนมาก และบอสทั้งหลายถูกฟ้องดำเนินคดีและยังไม่ได้รับการประกันตัวอยู่ถึง 18 คน ก็เป็นอุทาหรณ์ว่าระบบในลักษณะแชร์ลูกโซ่ นั้นไม่มีทางสูญหายไปจากสาระบบของประเทศไทย คนรุ่นผมจะคุ้นเคยกับ “แชร์แม่ชม้อย” ซึ่งก็เอาน้ำมันมาเป็นตัวสินค้าเพื่อหลอกเอาเงินของคนใหม่มาจ่ายคนเก่า และผมมีประสบการณ์ตรงในเรื่องนี้ดีเพราะตอนนั้นกำลังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัย ซึ่งคุณพ่อก็ได้ไปลงทุนด้วยจำนวนหนึ่งที่มากพอสมควร แต่นับว่าโชคดีเพราะมี “เอ๊ะ” ขึ้นมาก่อนซึ่งก็คือสงสัยว่ามันจริงหรือเปล่าที่จะทำธุรกิจน้ำมันแล้วได้กำไรถึงเกือบ 10 เปอร์เซนต์ ถ้าได้จริงเค้าจะมาบอกเราให้ร่วมลงทุนทำไม คนรู้จักก็ไม่ใช่ ญาติก็ไม่ใช่ จึงได้ไปขอถอนออกมาก่อนเรียกว่าออกตัวได้ทัน ไม่งั้นเงินต้นคงสูญไปกับ “ความโลภ” (ผมไม่เรียกว่าเป็นการลงทุน )
จนล่าสุดมหากาพย์ #ทนายประชาชน ก็โดนฟ้อง “ฉ้อโกงเป็นปกติธุระ” ที่เพิ่งถูกใช้เป็นข้อกล่าวหา น่าจะเป็นครั้งแรกในประวัติวงการยุติธรรมไทย ซึ่งข้อหานี้มีที่มาจากพรบ.ฟอกเงิน ไม่ใช่จากกฎหมายอาญาแต่เพียงอย่างเดียว ทนายคนนี้ถ้าทำด้วยความซื่อสัตย์ก็จะสามารถได้รับรายได้จาก “พี่อ้อย” น่าจะได้ตลอดชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเงินเดือนประจำ เงินค่าการศึกษาของลูกทั้งสามคน งบประมาณท่องเที่ยว การดูแลกิจการ (ที่จะเกิดขึ้น) ก็จะได้รับรายได้ทั้งจากที่ปรึกษาในด้านกฏหมาย และ การบริหารกิจการ และ อาจจะได้ถึงมีหุ้นลมได้รับปันผลจากิจการไปตลอดชีวิต แต่ด้วยความไม่ซื่อสัตย์นั่นเอง ก็เลยมีกินนได้ไม่นานนั่นเองและยังจะต้องถูกดำเนินคดีซึ่งเชื่อว่าไม่น่าจะแก้ต่างได้เพราะหลักฐานมัดแน่นเป็นตราสังข์ เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้แล........
เมื่อหวนมาดูถึงแนวคิดในเรื่องความยั่งยืน Sustainable ในการดำเนินชีวิตและธุรกิจแล้วก็จะพบแนวทางเพื่อความยั่งยื่นนั่นก็คือ
หลักธรรมาภิบาล ( Good Governance) คือ การปกครอง การบริหาร การจัดการการ
ควบคุมดูแล กิจการต่าง ๆ ตลอดจนดำเนินชีวิต ให้เป็นไปในครรลองธรรม นอกจากนี้ยังหมายถึงการบริหารจัดการที่ดี ซึ่งสามารถนาไปใช้ได้ทั้งภาครัฐและเอกชน ธรรมที่ใช้ในการบริหารงานนี้ มีความหมายอย่างกว้างกล่าวคือ หาได้มีความหมายเพียงหลักธรรมทางศาสนาเท่านั้น แต่รวมถึง ศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรมและความถูกต้องชอบธรรมทั้งปวง ซึ่งวิญญูชนพึงมีและพึงประพฤติปฏิบัติ อาทิ ความโปร่งใส และตรวจสอบได้ เป็นต้น ซึ่งหากมองให้ครบทุกมิติแล้ว มิได้ซื่อตรงต่อลูกค้าแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ยังจะต้องซื่อตรง มีธรรมาภิบาลทั้งต่อ ลูกค้า คู่ค้า พนักงาน และ ผู้ถือหุ้น และรัฐ อีกด้วย เรียกได้ว่าต้องครบทุกภาคส่วนที่มีส่วนได้เสีย ซึ่งก็ขอสรุปเป็นแนวทาง 7 ประการดังต่อไปนี้
1. จริยธรรมทางการขายที่ดี ไม่หลอกลวงลูกค้า ส่งมอบสินค้าตามคุณภาพบริการที่ได้ตกลงไว้ เช่น ตกลงราคาไว้ 100 บาทที่คุณสมบัติเกรด A แต่พอลูกค้าต่อรองราคาเหลือ 85 บาทด้วยการกลัวว่าจะไม่ได้ขายของแต่หากเอาสินค้าเกรด A ไปส่งก็จะไม่เหลือกำไร เรยเอาสินค้าเกรด B+ ไปส่งแทน เพราะมีต้นทุน 75 บาท ทำให้ยังมีกำไรอยู่
2. เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นจะต้องแก้ปัญหาให้ลุล่วงไปอย่างรวดเร็ว หากแก้ไม่ได้จะต้องมีการชดเชยด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความรับผิดชอบในปัญหานั้นๆ
3. ยอมรับผิด ขอโทษและรับผิดชอบในกรณีที่เกิดปัญหานั้น แต่ส่วนใหญ่แล้วมักจะอยู่ในรูปของการให้ข้อเท็จจริง แต่ในมุมมองของผู้เสียหายจะมองว่าเป็นการแก้ตัว และจะมีคำถามในใจว่า “จะแก้ไขได้กี่โมง หุหุ ”
4. ทำตามที่ตกลงทั้งที่เป็นลายลักษณ์อักษร และ ข้อตกลงทางวาจา หรือทางใจก็ตาม แม้การดำเนินการดังนั้นอาจทำให้เราเสียหายก็ตาม เช่น ในกรณีที่ตกลงราคาไว้ 100 บาท แต่พอต้นทุนราคาเพิ่มขึ้นจากเดิม 90 บาท เป็น 105 บาท ก็ต้องรับผิดชอบในการตกลงนั้นแม้จะขาดทุน 5 บาทก็ตาม ดังนั้นการเสนอราคาใดๆก็ควรจะกำหนดระยะเวลไม่นานเช่น 30 วัน ซึ่งเชื่อได้ว่าต้นทุนคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนักจนทำให้ขาดทุนได้
5. สร้างวัฒนธรรมของทีมที่มุ่งเน้นความมีจริยธรรมในการทำงาน ด้วยการปลูกฝังไปยังบุคลากรในทุกระดับ และองค์การดำเนินกิจการเป็นตัวอย่างที่ดี
6. ให้ความสำคัญและมุ่งเน้นการบริการหลังการขาย เพราะจะทำให้ลูกค้าเกิดความประทับใจ และบอกต่อธุรกิจสินค้า/ บริการของเราต่อคนอื่น ที่นับได้ว่ามีพลังแบบเรียกว่า
“ เสียงบริสุทธิฉุดยอดขาย”
7. ต้องเข้าใจกับความคาดหวัง (Expectation) และความต้องการ (Needs) ของลูกค้าให้ดี เพื่อที่องค์กรและบุคลากรในองค์กรจะได้ตอบสนองได้ถูกต้องและให้มากกว่าความคาดหวังนั้นๆ เพื่อสร้างความประทับใจไม่รู้ลืม