วันอังคารที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2552

โอกาสดีๆที่ต้องคว้าเอาไว้

ช่วงวันสงกรานต์ที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสพาครอบครัวซึ่งรวมทั้งครอบครัวของน้องๆ รวมทั้ง หลานๆและคุณพ่อคุณแม่ตลอดจนแม่ภรรยาไปพักผ่อนที่ประเทศไต้หวัน ก็นับว่าเป็นครั้งแรกที่มีโอกาสรวบรวมสมาชิกในครอบครัวมาร่วมกิจกรรมกันห้าวันห้าคืน แต่ในช่วงที่อยู่ไต้หวันก็รับเอสเอ็มเอสถึงข่าวคราวความวุ่นวานในประเทศของเราซึ่งหนังสือพิมพ์ไต้หวัน ลงรูปและข่าวในหน้าหนึ่งเลยเพราะว่าไต้หวันมีกิจการอยู่ในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก นี่ก็นับว่าโชคดีที่เหตุการณ์สงบลงในเร็ววันและสูญเสียทางกายภาพน้อยมาก แต่ว่าการสูญเสียที่ตามมาในเรื่องความเชื่อมั่นและภาพพจน์ของประเทศไทยอีกนานเท่าไหร่จะกลับมาเหมือนเดิมก็คงไม่มีใครสามารถตอบได้ เราได้เห็นว่าพันธมิตรเสื้อเหลือปิดการจราจรทางอากาศ เสื้อแดงปิดการจราจรทางบก ก็ได้แต่ภาวนาว่าเสื้อน้ำเงินอย่าได้ปิดท่าเรือตัดขาดการส่งออกเลย หรือถ้าแย่ไปกว่านั้นเสื้อเขียว(ขี้ม้า) ถ้าออกมาอีกครั้งคราวนี้ปิดประเทศทุกเส้นทางเลย ก็ขอให้ช่วยกันภาวนาให้ประเทศไทยรอดพ้นจากเกมส์ของการช่วงชิงอำนาจในครั้งนี้ด้วย เพราะสุดท้ายแล้วประชาชนอย่างเราๆท่านๆก็แค่เบี้ยตัวหนึ่งในกระดานเท่านั้นเอง
จากภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยลงโดยลามมาจากอเมริกา ยุโรป สู่เอเชีย เราก็จะเห็นสัจจธรรมอยู่อย่างหนึ่งในสมัยเด็กๆเราเคยเรียนว่าสสารไม่สูญหายเพียงแต่เปลี่ยนรูปไป ประกอบกับทฤษฏีของแมสโลว์ทีว่าด้วยความต้องการของมนุษย์ที่แบ่งเป็นห้าระดับและระดับล่างสุดซึ่งเป็นฐานก็คือความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์ในเรื่องของ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค ฯลฯ ที่เป็นปัจจัยความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ ถ้าเราเข้าใจกับทฤษฏีต่างๆเหล่านี้ และสามารถฉกฉวยโอกาสจากวิกฤติครั้งนี้ได้ก็อาจจะอยู่รอดปลอดภัยแถมอาจจะมีผลตอบแทนที่มากกว่าในอดีตเสียอีก ตัวอย่างเช่นร้านอาหารกาจจะกระทบเพราะคนกินข้าวนอกบ้านน้อยลงเนื่องจากมีสตางค์ลดลงหรือประหยัดค่าใช้จ่าย แต่มนุษย์ต้องกิน(เพื่อการดำรงชีพ)ก็ต้องทำอาหารกินในบ้านเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นจึงเป็นโอกาสของผู้ขายอาหารสด เครื่องปรุง เครื่องมือในการทำอาหาร โรงเรียนสอนทำอาหาร ฯลฯ ที่เป็นการตอบรับกับทฤษฎีข้างต้น ดังนั้นหากองค์กรใดปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปได้ก็อาจจะเห็นธุรกิจใหม่ๆหรือธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจเดิมที่เราทำอยู่ในปัจจุบัน ตอนผมอยู่ที่ไต้หวันซึ่งไม่ได้ไปหลายปีมากน่าจะเกือบ 8-9 ปี พบว่าค่าครองชีพของไต้หวันเมื่อเทียบกับรายได้โดยรายได้ขั้นต่ำอยู่ที่ประมาณ 15,000 แต่ก๋วยเตี๋ยวข้างถนนแค่ 25-35 เท่านั้นเอง ก็ยังแปลกใจอยู่ว่าค่าครองชีพของไต้หวันแทบไม่ได้ขยับเลยเมื่อเทียบกับ 8-9 ปีที่ผ่านมา ขนมหวนเย็นแบบบ้านรา 20-25 บาท โดยเฉลี่ยแล้วซื้อของในไต้หวันราคาเดียวกับบ้านเรา แต่ค่าเงินจะแพงกว่าบ้านเราประมาณสิบเปอร์เซน์แต่รายได้ขั้นต่ำมากกว่าบ้านเราประมาณห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ที่ไต้หวันก็แจกเงินให้กับประชาชนเหมือนกันแต่เค้าแจกในรูปของคูปองและมีอายุการใช้งานของคูปองเข้าใจว่า 6 เดือน ซึ่งหมายถึงว่าคนที่ได้รับจะต้องนำมาจับจ่ายใช้สอยแต่บ้านเราแจกเป็นเงินซึ่งส่วนหนึ่งก็อาจจะไม่ได้นำไปใช้เพราะต้องประหยัดสุดๆเกรงว่าจะตกงานหรือรายได้ลดลงก็เซฟตี้ไว้ก่อน ก็เลยไม่รู้ว่าเงินจะหมุนไปได้มากน้อยขนาดไหนก็คงต้องเวทแอนด์ซี
นี่เห็นว่ารมต.กระทรวงการคลังออกมายอมรับแล้วว่าจีดีพีของเราอาจจะติดลบ 4-5 % และเป็นการเปลี่ยนแปลงสามหรือสี่ครั้งในรอบสี่เดือนที่เข้ารับตำแหน่ง จากเดิมว่าจะบวกเล็กน้อย เปลี่ยนเป็นน่าจะศูนย์ แล้วเปลี่ยนอีกครั้งลบ 1-2 % ซึ่งตอนนั้น ดร.โอฬาร ไชยประวัติ ออกมาคาดการณ์ว่าจะติดลบ 4 % โดยรัฐบาลด่ากลับไม่ทัน แต่เดือนนี้ออกมายอมรับแล้วว่าอาจจะติดลบ 4-5 % ก็ยิ่งทำให้ประชาชนยิ่งขาดความเชื่อมั่นไปกันใหญ่ ผู้นำต้องปลุกเร้าและกระตุ้นให้มีกำลังใจสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นให้ได้ยิ่งหดหู่เท่าไหร่ยิ่งไม่กล้าใช้เงินก็ยิ่งติดลบเป็นลำดับ สู้พี่ตัน โออิชิไม่ได้ แค่รู้ว่ามีเช็คช่วยชาติ 2,000 บาท ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะแจกอย่างไรที่ไหนเมื่อไหร่ พี่ตันของเราก็ออกโปรโมชั่นแต่ไก่โห่ว่านำมาแลกเป็นคูปองมูลค่าถึง 4,000 บาท เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวโดยสามารถนำคูปองนั้นมาทานอาหารร้านทุกร้านในเครือโออิชิได้ภายในหกเดือน แปลว่าอะไรครับ ??? คำแปลของผมคือ 1.ขายของล่วงหน้าได้เงินมาก่อน 2.ลูกค้าต้องมาใช้บริการให้หมดใน 6 เดือน รู้เลยว่าอีกหกเดือนข้าหน้ายอดขายในโปรโมชั่นนี้เท่าไหร่ 3.ร้านอาหารกำไรเกินเท่าตัวอยู่แล้วดังนั้นไม่มีทางขาดทุน 4.เมื่อมากินทีร้านจริงๆอาจจะกินมากกว่าสี่พันบาทตามมูลค่าของคูปองก็ได้ แสดงว่าขายของได้เพิ่มขึ้นใช่หรือเปล่า 5.ไม่ว่าจะมีคนนำเช็คช่วยชาติมาใช้บริการโปรโมชั่นนี้เท่าไหร่ก็ตาม แต่โปรโมชั่นนี้เป็นที่กล่าวขวัญถึงเพราะไม่มีค่ายไหนใจถึงเท่าพี่ตันให้มูลค่าเพิ่มถึง 100 % ค่ายอื่นๆลด 10 หรือ 20 % เป็นอย่างมาก ซึ่งจากโปรโมชั่นนี้เองก็มีคนมาใช้บริการการจนต้องปรับเงื่อนไขว่าต้องเป็นเจ้าของเช็คเองจึงจะเอามาแลกคูปองได้ ไม่งั้นเห็นที่ผมคงได้ร่วมด้วยเพราะไปขอซื้อเช็คจากลูกน้องไว้แล้วในราคา 2,500 เรียกว่าวิน-วินทุกฝ่ายใช่มั๊ย ยอดขายของโออิชิในไตรมาสที่สี่ปีที่แล้วไม่ตกเลยแถมขึ้นอีกเล็กน้อย ส่วนไตรมาสหนึ่งของปี 2552 นี้ก็คงไม่ต้องเดานะว่าต้องปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน นี่แหละครับทพี่ตันที่ไม่ยอดมตัน เพราะพี่ตันเป็นคนเห็นโอกาสในทุกวิกฤติเสมอ
โอกาสดีที่ต้องคว้าเอาไว้ที่พี่แกไม่เคยพลาดเลยซักโอกาส อิ..อิ...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ขายรัย...ทำไมเราอิน (มาก)

                                                   เครดิตภาพจาก "เฟสบุคไทรสุก"           สองอาทิตย์ก่อนไปเห็นน้องคนหนึ่งที่เป็...