วันพุธที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2555

“ทำไมใครๆ ? ก็เข้าร้าน (นี้) “

“ทำไมใครๆ ?  ก็เข้าร้าน (นี้) “
ดร.พงษ์ศักดิ์ สวัสดิเกียรติ
ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ม.เกษตรศาสตร์
กรรมการบริหาร และ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการพิสิษฐ์กรุ๊ป
20  มิถุนายน 2555

                การทำมาค้าขายนับวันจะลำบากขึ้นเรื่อยๆ  ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบที่มาจากเศรษฐกิจโลกทั้ง อเมริกา และยุโรป ที่เป็นผู้ซื้อรายใหญ่ของโลกและประเทศไทย  หรือจะเป็นเพราะปัญหาพลังงานที่ทำให้ต้นทุนสินค้าสูงขึ้น  หรือปัญหาค่าแรง  ปัญหาสิ่งแวดล้อม(ที่ผู้ประกอบการต้องจ่ายเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมและทำให้ต้นทุนสิ้นค้าสูงขึ้น)   ฯลฯ  ยิ่งมามีปัญหาเรื่อความไม่มั่นคงทางการเมืองก็ยิ่งทำให้การค้าขายยิ่งลำบากขึ้นไป  แม้ว่าการพยากรณ์เศรษฐกิจของไทยในปีนี้จะเติบโตถึง 5 % ก็ตาม  แต่ความไม่มั่นใจที่แสดงออกทางดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ธนาคารแห่งประเทศไทยแถลงว่า 47.7 จุด ต่ำกว่าครึ่งคือ 100 จุด   ก็คงเป็นคำตอบได้ดีถึงโอกาสที่ จีดีพี จะโตไม่ถึง  5 %   แต่อย่างที่ใครๆเขาก็ว่ากันว่า  “ชีวิตต้องก้าวเดิน”  หรือ ที่ฝรังว่าไว้ว่า “THE SHOW MUST GO ON  เราเองก็ต้องก้าวเดินต่อไปเช่นกัน
                เมื่อกลางเดือนพฤษภาคม 2555  ได้มีโอกาสร่วมเดินทางไปทัศนศึกษาและดูงานที่ประเทศญี่ปุ่น  กับคณะนักศึกษา วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร   และแน่นอนภูเขาไฟฟูจิย่อมเป็นสถานที่ที่จะต้องไปผมเคยเดินทางไปภูเขาไฟฟูจิครั้งสุดท้ายเมื่อปี  2543  พอลงจากรถบัสก็มีชาวญี่ปุ่นมาแจกการ์ดเล็กใบหนึ่งแล้วก็บอกว่า กระดิ่ง ครับกระดิ่ง  พูดภาษาไทยเสียด้วยแปลความได้ว่า  ให้ไปรับกระดิ่งฟรีโดยเอาการ์ดนี้ไปแลกที่ร้านซึ่งอยู่ใกล้นั่นเอง   แน่นอนของฟรีมีหรือที่มนุษย์ผู้ซึ่งมีความโลภอยู่เป็นทุนในตัวมีหรือว่าใครจะไม่เอา  เพราะกระดิ่งเป็นเหมือนวัฒนธรรมอันหนึ่งของคนญี่ปุ่นที่ไปไหนต้องกรุ๊งกริ๊งตลอดเลย  ท่านที่เคยไปญี่ปุ่นคงสังเกตเห็นว่าทุกร้านที่ขายของที่ระลึกจะมี   กระดิ่งในสารพัดรูปแบบไม่ว่าจะเป็น พวงกุญแจ  ที่ห้อยโทรศัพท์  กระดิ่งแขวนกระเป๋า  ประตู  ฯลฯ   แน่นอนเราก็นึกว่าจะต้องเป็นกระดิ่งที่สวยงาม  คิ๊กคุตามสไตล์ญี่ปุ่น  เดินเข้าร้านกันทุกคนเลยขอบอก   แล้วทุกคนก็หงายเก๋งเพราะว่าเป็นกระดิ่งถูกๆไม่มีดีซายน์แถมมีเชือกเล็กๆสีแดงผูกไว้
อย่าเรียกว่าเชือกเลยเรียกว่าด้ายแดงประมาณว่าเป็นไหมญี่ปุ่นนั่นเอง (ไม่รู้คนรุ่นใหม่รู้จักหรือเปล่า)  มูลค่าไม่น่าเกินสามบาทขาดตัว    
                พอเดินเข้าร้านไปชักคุ้นๆ  รวมทั้งตัวมาสค๊อตที่อยู่หน้าร้านรู้สึกได้ว่าเคยมาและเคยถูกกลยุทธ์นี้เมื่อ 12 ปีที่แล้วน๊า   กลับมาดูรูปเก่าๆก็อ๋อหรอเลยเพราะเราโดนหลอกให้เข้าร้านเป็นครั้งที่ 2  ด้วยกลยุทธ์แบบเดิมๆที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงมาเลย  แสดงว่าเป็นกลยุทธ์อมตะมหานิรันดร์กาล(ที่ยังได้ผลชะงัดอยู่)   แน่นอนครับคนที่เข้าไปในร้านนั้นซื้อของเพิ่มกันทุกคนเลย  มากบ้างน้อยบ้างตามกิเลสและขนาดของกระเป๋าตังกันแค่นั้น  เพราะเราคงทราบดีกันว่าสินค้าญี่ปุ่นนั้น  น่ารัก  น่าซื้อ  ก็เลยถามตัวเองว่าแล้วอะไรทำให้   “ใครๆ ก็เข้าร้าน”
                ที่สำคัญคือ   แมกเน็ต MAGNET  ซึ่งก็หมายถึงแรงดึงดูดให้เข้าเร้า  ในกรณีนี้ก็คือของขวัญของชำร่วยที่นำมาล่อใจให้เข้าร้านนั้น  ทั้งๆที่มีร้านอีกหลายร้านที่ขายของในลักษณะเดียวกันแต่คนเงียบเหมือนกับไม่ได้เปิดร้านเลย  ในขณะที่ร้านที่แจกกระดิ่งคนเต็มร้านไปหมด    นอกจากนี้แล้วยังมีแม่เหล็กตัวอื่นๆอีกที่เราเห็นๆกันเช่น   ราคา  ตัวอย่างก็คือ โลตัส กับ บิ๊กซี ที่แย่งกันลดราคาและโปรโมชั่นจนสับสนไปหมดว่าไปร้านไหนที่ถูกกว่าแน่ๆ     หรือการจัดกิจกรรมในร้านเช่น  จัดประกวดเชียร์ลีดเดอร์ที่ช่วยชุบชีวิตฟิวเจอร์ปาร์ค  หรือเดอะมอล์จัดประมงน้อมเกล้าทุกปี    ซึ่งกิจกรรมนั้นแรกๆต้องจัดประมาณว่า  ใหม่  ใหญ่  ดัง  และ โดน  พอคนติดแล้วก็สามารถจัดได้ทุกปีลงปฏิทินไว้ได้เลย    ซึ่งใหม่หมายถึงเป็นกิจกรรมใหม่  เพราะตอนที่ฟิวเจอร์ปารค์จัดเชียร์ลีดเดอร์ครั้งแรกๆนั้น  เชียรลีดเดอร์ยังไม่ค่อยนิยมในประเทศไทยของเราเท่าไหร่   ใหม่คงหมายถึงว่าอาจจะเก่าที่อื่นมาใหม่ที่นี้  หรือ ในอุตสาหกรรมนี้ยังไม่มีคนทำก็ได้นะครับ    ส่วนใหญ่ นั้นหมายถึง  อาจจะมีคนใหญ่คนโต ยศตำแหน่งสูง   หรือมีที่สุดในโลก  ที่สุดในประเทศไทยมาในงาน มาโชว์ ฯลฯ    และดังกับโดนนั้นก็จะเป็นในลักษณะ  มีคนดังมาร่วมในงานที่เราเรียกกันว่า “ซีเล็บ” ซึ่งเห็นได้บ่อยๆสำหรับสินค้าราคาแพง หรือประมาณว่าเลิศหรู  ดูดี  มีชาติตระกูลอะไรพรรณนั้น     โดนนั้นหมายถึงโดยใจลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเพราะกิจกรรมนั้น  สินค้านั้น ตรงหรือสอดคล้องกับความต้องการของเขานั่นเอง  เช่น รถยนต์มินิคูเปอร์  มีกี่คนในประเทศไทยที่มีตังและต้องชอบรถประเภทนี้ด้วย  แต่สินค้ามันโดนใจจนอดไว้ไม่อยู่จนต้องไปร่วมกิจกรรมงัย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ขายรัย...ทำไมเราอิน (มาก)

                                                   เครดิตภาพจาก "เฟสบุคไทรสุก"           สองอาทิตย์ก่อนไปเห็นน้องคนหนึ่งที่เป็...