วันพุธที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

“เขาเล่าว่า”

            
วันนี้ และ หลายๆๆๆๆ วันได้รับไลน์ที่ส่งต่อๆกันมาว่า 

   
 “วันนี้เป็นวันเกิดหลวงพ่อโสธร...................................................ให้ส่งต่อ .......”
            
           อาจารย์ ดร...................เล่าให้ฟังว่า..................................................... ช่วยกันส่งต่อด้วยนะครับเพื่อชาติของเรา.....................ฯลฯ
          พ่อเพื่อนที่เป็นนายพล ระดับ ผู้บัญชาการ.........................................เล่าให้เพื่อนฟังมี สไนเปอร์ อยู่จริงที่......................และยิงทำให้ นายพล...................................เสียชีวิต ฯลฯ
               บริษัท................................................สินค้า.............................................เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่ น้าของเมียเพื่อน............................. ช่วยกันส่งต่อ และเลิกซื้อสินค้า..........ฯลฯ

             วันๆเรารับข่าวต่างๆเหล่านี้มากมายก่ายกอง เคยนับหรือไม่ครับผมลองนับดูเมื่อเช้าซึ่งมี ไลน์เข้ามาทั้งสิ้น 435 หักที่เป็นสติกเกอร์ และรูปสวัสดี อนุโมทนา ดอกไม้ สายลม แสงแดด แล้วเหลือ 227 มีข้อความ
“เขาล่าว่า”สีย 48 ข้อความ (นับตั้งแต่ตอนนอน ถึงตื่นขึ้นมา) ถ้าทั้งวันคิดว่ามีไม่น้อยกว่า 200 แน่ๆ ที่เป็นข้อความ ข้อมูล แบบ “เขาเล่าว่า” “ส่งต่อกันมา”

             แล้วเราก็แชร์ไปเรื่อย ลองตรองดูนะครับว่า

1. หลวงพ่อโสธรท่านเป็นพระพุทธรูปมิใช่หรือ ท่านจะมีวันเกิดได้อย่างไร ? จบปะ
2. การอ้าง อาจารย์ นายพล ดอกเตอร์ ศาสตราจารย์ ฯลฯ หรือแม้แต่กระทั่ง น้องของเมียเพื่อน ก็เพื่อให้รู้สึกว่าน่าเชื่อถือ เคยลองโทรกลับไปถามว่าน้าของเมียเพื่อนคนที่ส่งมาไปเจอเหตุมาเองเหรอ คำตอบแน่นอนว่าไม่ใช่ เลยให้เพื่อนโทรไปถามคนที่ส่งมาให้เขาอีกต่อหนึ่ง แน่นอนก็ไม่ใช่เพื่อนของเพื่อน ฯลฯ
3. ใครได้ประโยชน์จากการเขียนข้อความนั้น ?? ประโยชน์ย่อมตกอยู่กับคนแรกที่เป็นคนเขียนข้อความ โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อความที่เป็น “ความเท็จ” ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของควาสนุกสนาน การได้ประโยชน์ทางการค้า ทางการเมือง ทางการแกล้งเพื่อน ฯลฯ
4. ถ้าเป็นเรื่อง “จริง” อันนี้ก็คงไม่มีปัญหาอะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จุดที่รถหายบ่อยๆ ภัยจากมิจฉาชีพในลักษณะต่างๆ หรือ “เรื่องจริงเพียงส่วนเดียว”

                ในสมัยก่อนนั้นมีสุภาษิตว่า “สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น” เดี๋ยวนี้อาจจะต้องปรับเป็น “ถ้าไม่ได้เห็นด้วยตาตนเอง อย่าเพิ่งเชื่อ” เพราะแม้แต่ภาพถ่าย คลิป ฯลฯ ก็ยังสามารถทำ ตัดต่อ ฯลฯ ได้เพื่อประโยชน์ของคนที่ทำนั้นนั่นเอง


              สังคมเราปัจจุบันเป็นโลกของโซเชียลเมีเดียอย่างสมบูรณ์ อันเป็นผลมาจากเครื่องโทรศัพท์สมาร์ทโฟน (แต่สติวพิดยูสเซอร์ ?? ) และค่าบริการอินเตอร์เน็ตที่ถูกลงและแพร่หลาย จนคนทุกระดับชั้นสามารถใช้และเข้าถึงได้อย่างสมบูรณ์นั่นเอง (ภาษาเศรษฐศาสตร์ หมายถึง ใครๆก็ใช้ได้ ดังนี้แล) ดังนั้นถ้าคนที่มีเจตนาบริสุทธิ์ในการใช้เทคโนโลยี่นี้มาในทางสร้างสรรค์ก็สามารถทำให้สังคมน่าอยู่มากยิ่งขึ้นได้ แต่หากเอามาใช้ในทางที่ไม่สร้างสรรค์และเป็นภัยต่อสังคมก็นับว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจ ….และเป็นห่วง. !!

                น่าสนใจว่า แล้วสังคมแห่งความจริง ......... สังคมแห่งความมีสติ.............สังคมแห่งความคิดวิเคราห์........สังคมแห่งความเอื้ออาทร.........สังคมแห่งความรักและสามัคคี..........

                  จะยังมีเหลืออยู่................................ในสังคมไทย ??????

           หรือจะให้เป็นสังคมของ.................. ความไม่มีสติ ..........คววามเกลียดชัง........ไม่ต้องคิดวิเคราะห์ ....................วันๆขอแชร์

                 จนมีเรื่องขำๆว่า เพื่อนของผมคนหนึ่งที่เป็นชาย 100% แชร์ข้อมูลว่า

ไม่ได้ดูแล้วจะเสียใจงดงามมากๆวิวสวยจริงๆ www.youtube.com...........................................................

ได้รับมาแล้วก็กด COPY ส่งต่อกันไปหลายๆคน ทั้งชายและหญิง โดยที่ตนเองไม่ได้เปิดดูคลิปนั้นเลยแม้แต่น้อย ไม่นานก็โดนเพื่อนผู้หญิงที่ “ปฎิบัติธรรมอย่างแรงงงง” โทรมาต่อว่าส่งอะไรไปให้ดู .....................เจอเต็มๆ เป็นคลิป สยิวกิ้ว ???? แบบจัดเต็ม.....................


                       นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า “เพราะไม่ส่งคลิปนั้นมาให้ผม กรรมเลยตามทัน” จะเกี่ยวกันมั๊ยนี่ หุหุ ..................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ขายรัย...ทำไมเราอิน (มาก)

                                                   เครดิตภาพจาก "เฟสบุคไทรสุก"           สองอาทิตย์ก่อนไปเห็นน้องคนหนึ่งที่เป็...