“อาลีบาบา มาแว้ว”
ดร.พงษ์ศักดิ์ สวัสดิเกียรติ
ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ม.เกษตรศาสตร์
กรรมการบริหารและผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการพิสิษฐ์กรุ้ป
ถ้าถามคนทั่วไปว่า
“อาลีบาบา” นึกถึงอะไรจะมีคำตอบอยู่ สองคำตอบ
1. ไม่รู้ 2.นิยายอาหรับราตรี
1001 แต่ถ้าถามคนในเมืองจีนที่มี่อยู่ 1,393,783,836 คน
คิดเป็น 19.24% ขอบประชากรโลก ส่วนผู้ใช้อินเตอร์เน็ตของจีนนั้นหากเปรียบเทียบกับ จำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลกโดยประมาณ
2.095 พันล้านคน หรือ
30.2 % ของประชากรทั่วโลก (ข้อมูล ณ เดือน มีนาคม
2554) โดยเมื่อเปรียบเทียบในทวีปต่าง ๆ พบว่าทวีปที่มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตมากที่สุดคือ เอเชีย โดยคิดเป็น 44.0 %
ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั้งหมด และประเทศที่มีประชากรผู้ใช้อินเทอร์เน็ตมากที่สุดคือประเทศจีน คิดเป็นจำนวน 384 ล้านคน ซึ่งคนจีน 384
ล้านคนนี้มีน้อยคนมากที่จะไม่รู้จัก “อาลีบาบา”
เพราะเป็นเว็บที่มีคนใช้บริการเป็นจำนวนมาก คนจีนบางคนเคยบอกด็วยซ้ำว่าทุกคนน่าจะเคยใช้บริการของ”อาลีบาบา” กันทุกคนแล้ว
ขอขยามความธุรกิจของอาลีบาบาเผื่อท่านที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน “อาลีบาบา”
เป็นธุรกิจที่เป็นเว็บสำหรับธุรกิจเป็นหลัก
โดยมีเว็บ ชื่อ “ALIBABA.COM” ดำเนินธุรกิจ B2B คือเป็นธุรกิจสำหรับหาคู่ค้าทั้งขายและซื้อสินค้าสำหรับองค์กรธุรกิจ
ผมเองก็เป็นผู้ใช้งานมาตั้งแต่อาลีบาบายังไม่ดังเท่าใด
ซึ่งเดิมนั้นสำหรับหาสินค้าในเมืองจีนเท่านั้นแต่ปัจจุบันก็ขยายตัวมีสินค้าทุกประเภทและทุกประเทศทั่วโลก นอกจากนี้แล้วยังมีเว็บชื่อ “TAOBAO.com” เว็บนี้สำหรับ C2C คือเป็นประมาณว่าเป็นผู้ค้าบุคคลมาเปิดร้านซื้อขายสินค้ากัน
ผู้บริโภคก็ไปเซิชหาสินค้าหาซื้อได้ตามสะดวก และเว็บสุดท้าย “TMALL.COM” เป็นธุรกิจแบบ B2C
คือให้ธุรกิจขนาดเล็กมาเปิดเว็บขายสินค้าให้กับผู้บริโภคทั่วไป ซึ่ง2เว็บหลังนี้เจริญเติบโตตามจำนวนประชากรที่ใช้อินเตอร์เน็ตและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปซื้อของออนไลน์มากขึ้น ซึ่งรายละเอียดคงหาอ่านจากหลายๆแหล่งข้อมูล แต่อยากจะขอบอกว่าถ้าเคยใช้บริการแล้วจะติดใจมากผมเพียงแค่เคยเข้าไปใช้บริการเว็บ
“อาลีบาบา”
หลังจากนั้นมีผู้ค้ารายใหม่ๆเข้ามาและมีสินค้ากับทีผมเคยแสวงหาไว้มันจะส่งมาแจ้งให้ทราบโดยตลอดเรยนับว่าทุ่นเวลาสำหรับการหาแหล่งซัพพลายวัตถุดิบหรื่อเครื่องจักร ในเวลาเดียวกันก็เป็นแหล่งที่จะเสนอขายสินค้าของเราได้อีกทางหนึ่งด้วย
แต่เมื่ออาลีบาบาเข้าไปซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐอเมริกานี่ซิน่าสนใจกว่า เพราะมูลค่าที่เสนอขายคือ 25,000 ล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา
คิดเป็นเงินไทย 800,000 ล้าน.....ต้องอุทานว่า “อุต๊ะ” มากว่า อเมซอน
มากว่าเฟสบุค ตอนเข้าตลาดเสียอีก
แถมราคาหุ้นเมื่อซื้อขายก็ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจนปิดที่ 93.89
เหรียญ/หุ้น จากราคาเปิด 68 เหรียญ ทำให้มูลค่าหุ้นทั้งหมดของ”อาลีบาบา”
ในวันปิดตลาดวันแรกคือ 231,400
ล้านเหรียญ คิดเป็นเงินไทย 7.4 ล้านล้าน
บาท หรือประมาณ งบประมาณรัฐบาลไทย 3
ปี (โปรดฟังอีกครั้งหนึ่ง งบประมาณประเทศไทย 3 ปี)
ทำให้แจ๊คหม่าซึ่งเป็นซีอีโอรวยไม่รู้เรื่องเรยเพราะเขาใช้เวลาตั้งแต่ปี 2538 เพียง 19 ปีเท่านนั้นเพราะเขาเห็นโอกาสทางธุรกิจซึ่งในขณะนั้นประเทศจีนยังมีผู้ใช้อินเตอร์เน็ตเพียงอยู่หยิบมือเดียว และในปี 2542 มีคนงานเพียง 18 คน
แต่ในปัจจุบันมีถึง 20,000 คน
อะไรจะประมาณนั้นหากไม่ใช่เพราะเขาเป็นคนที่มีความมุ่งมั่นอยากเป็นครูสอนภาษาอังกฤษโดยยอมลงทุนปั่นจักรยานไปยังโรงแรมที่มีนักท่องเที่ยว และอาสาเป็นไกด์พาเที่ยวฟรีเพื่อให้ได้มีโอกาสฝึกพูดภาษาอังกฤษ
ที่สำคัญไปกว่านั้นในวันเวลาก่อนที่หุ้นจะเข้าตลาดซึ่งตอนนั้นผมอยู่ที่เซียงไฮ้พอดี มีทีวีช่อง CNBC ไปสัมภาษณ์ซึ่งผมประทับใจเขาอยู่สองประเด็น (ส่วนประเด็นที่เหลือฟังไม่รู้เรื่องมั้ง 5555 )
คือ
ผู้ดำเนินรายการถามว่ามีปรัชญาในการดำเนินธุรกิจอย่างไร “แจคหม่า” บอกว่า
เขาเรียงลำดับความสำคัญบุคคลที่เกี่ยวพันกับบริษัทดังนี้ ลูกค้า
ต่อด้วยพนักงาน และสุดท้ายคือผู้ถือหุ้น
สรุปโดยรวมว่าเมื่อสองกลุ่มแรกรักและภักดีต่อองค์กรแล้วผู้ถื้อหุ้นก็ได้ประโยชน์เอง
โดยจะต้องทุกวถีทางที่จะสนอบตอบความต้องการของลูกค้านั้นเอง ก็เป็นหลักการตลาด 101 ที่ทุกคนเข้าใจหมด เพราะเรียนมาเล่มเดียวกันแต่ต่างกันที่การนำหลักไปแปรเป็นแนวปฏิบัติ
ส่วนประเด็นที่สองผู้ดำเนินรายการถามว่ามีใครเป็นไอดอลหรือว่าแรงบันดาลใจหรือไม่ ไม่น่าเชื่อว่า”แจคหม่า” ตอบว่า “ฟอเรสกัมป์” ซึ่งก็คือชื่อตัวละครในภาพยนต์เรื่อง “DUMP AND DUMBER”
ซึ่งเป็นคนทึ่มๆอะไรประมาณนี้แต่ก็ประสบความสำเร็จ “แจคหม่า” บอกว่า WHO ARE WHAT
YOU ARE ผมอนุมานเอาว่าคุณเป็นใครไม่สำคัญเท่าคุณเป็นตัวคุณเอง ก็ประสบความสำเร็จได้....................เหมือนผม.....แต่ก็อยากจะบอกน้อง
“แจ้ค”ว่าแม้พี่นี้จะหน้าตาหล่อเหล่ากว่าน้องมากมายแต่คงมีความสามารถไม่เท่าน้องแน่นอน........
...... หัวคิดนาย “หล่อมาก” หวะ........