ผ่านพ้นสงกรานต์ปี
2559 ไปด้วยยอดคนตายที่มากกว่าปี 2558 คือปี 2558 รวมเทศกาลสงกรานต์ 7 วัน มีคนตาย 364
คน อุบัติเหตุ 3,373ครั้ง แต่ปี 2559 นี้ ทั้งๆที่เทศกาลสงกรานต์แค่ 6
วัน ตายถึง 397 คน อุบัติเหตุ 3,104 ครั้ง ทั้งๆที่มีมาตราการเข้มงวด ยึดรถสำหรับคนดื่มแล้วขับแต่ทำไมยอดคนตายจึงมากกว่าปีก่อนๆทั้งที่มาตราการยังไม่เข้มข้น อันนี้ก็ต้องหาสาเหตุและวิธีการแก้ไขกันต่อไป แต่ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้
รัฐบาลมีมาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจซึ่งน่าจะเป็นแพคเกจที่4 คือมีทั้งให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ 4% แก่เอสเอ็มอี ให้นำค่าใช้จ่าย
โรงแรม ท่องเที่ยว อาหาร มาหักภาษีส่วนบุคคล
และตอนแรกว่าจะมีมาตราการแจกเงินข้าราชการชั้นผู้น้อยคนละ 1,000 บาท
ซึ่งทั้งสามมาตราการนี้ขออนุญาติไอ้เรืองแสดงความคิดเห็นในฐานะประชาชนคนธรรมดาดังนี้ครับ
มาตราการแรกการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแค่
4 % แก่เอสเอ็มอี
แน่นอนการให้ดอกเบี้ยต่ำแก่เอสเอ็มอีก็ทำให้เอสเอ็มอีมีต้นทุนที่ถูกลง ตามทฤษฎีแล้วก็จะทำให้มีความสามารถในการแข่งขันได้มากขึ้น
อันนี้ไม่เถียงแต่ผมขอตั้งข้อสังเกตุสองประการดังนี้ 1.ถ้าขายของไม่ดี หรือคาดว่าจะขายไม่ดี เพราะขาดความเชื่อมั่นแล้วเอสเอ็มอีจะลงทุนเพิ่มหรือไม่ครับ ในขณะนี่ยังมีกำลังผลิตเหลืออยู่ ง่ายๆว่าเครื่องจักรผมผลิตสินค้าได้เดือนละ 10,000 ชิ้น แต่ทุกวันนี้ผลิตอยู่ 6,000 ชิ้น
และแนวโน้มก็ยังไม่ชัดเจนว่าจะขายดีขึ้นจนถึง 8,000
ชิ้นหรือไม่ (ถ้าเชื่อว่าถึงก็ต้องเริ่มคิดหาทางขยายกำลังผลิตครับ) แล้วจะลงทุนขยายกำลังผลิตไปทำไม
2.ธนาคารก็คงเลือกปล่อยกู้ให้กับลูกค้าเก่าๆที่รู้ฐานะทางการเงินและประวัติทางการเงินดีอยู่แล้ว
มีซักกี่เปอร์เซนต์ที่ตามียายมาเดินเข้าไปขอกู้มาขยายกำลังผลิตแล้วได้เงินกู้แบบชิวๆ อย่าลืมครับธนาคารไม่ต้องการที่ดินที่เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน แต่เขาต้องการดอกเบี้ยจากเอสเอ็มอีครับ ซึ่งสุดท้ายแล้วเอสเอ็มอีที่มีกำลัง ฐานะทางการเงิน
ก็จะนำเงินกู้ก้อนนั้นไปรีไฟแนนซ์เงินกู้ที่ดอกเบี้ยสุงกว่า
แน่นอนก็เป็นการช่วยเอสเอ็มอีแต่ไม่ก่อให้เกิดผลผลิตมากเท่าที่ควรจะเป็นนั่นเอง มันต้องกระตุ้นที่การสร้างความเชื่อมั่น การหาตลาดให้เอสเอ็มอี(แบบที่ ดร.สมคิดทำ
แต่ต้องทำมากขึ้นและคนอื่นๆต้องช่วยทำด้วย)
การกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยในประเทศ การส่งเสริมการค้าชายแดน(ให้เข้มข้นขึ้น) อย่าแต่พร่ำบ่นว่าเศรษฐกิจโลกแย่ๆๆๆๆๆๆๆ แต่ทำไม ลาว เวียดนาม เขมร พม่า
เศรษฐกิจเขาโตได้มากกว่าเราทั้งๆที่พื้นฐานเขาแย่กว่าเราไม่รู้เท่าใด ( ไม่รู้ว่าจะแย่ไปกว่าเราอีกกีปีเพราะเขาจี้ก้นเรามาแว้วววว)
มาตราการให้นำค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยว โรงแรม
ร้านอาหาร ในช่วง 9-17 เมษายน 2559
มาลดภาษีส่วนบุคคล แน่นอนในทางอ้อมกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยได้ในระดับหนึ่งแต่คงไม่ทั้งหมดที่ไปใช้จ่ายในช่วงนั้นเพราะต้องการนำมาลดภาษี เพระเป็นช่วงเทศกาลที่ใครๆก็ต้องจับจ่ายใช้สอยอยู่แล้วนั่นเอง
ทำไม่ไม่ออกมาตราการในช่วงอื่นๆที่เป็นโลว์ซีซันไม่ค่อยมีคนจับจ่ายใช้สอยละครับพี่น้อง แถมคนที่ใช้จ่ายโดยไม่จำเป็นอาจจะลืมไปว่า การที่เราใช้เงินไป 15,000 บาทนั้น เราเอามาหักภาษีได้เพียง 1,500 บาท (อันนี้คิดจากฐานภาษีที่
10%
แต่คนส่วนใหญ่ในประเทศไทยไม่เสียภาษีเพราะรายได้ต่อเดือนต่ำกว่า 20,000 ) แถมจ่ายแว้ทให้รัฐไปอีก 1,050 บาท และสรุปแล้วประชาชนขาดทุนหรือกำไร ???
พวกที่กำไรก็คือพวกที่ต้องจับจ่ายใช้สอยอยู่แล้ว ซึ่งคนพวกนี้มีรายได้สูงเป็นแสนหรือหลายแสนซึ่งเสียภาษีที่อัตรา
10-35 % ก็คือพวกที่มีรายได้สุทธิ(หลังจากหักค่าใช้จ่ายต่างๆแล้วตามกรมสรรพากรประกาศ)
อยู่ระหว่าง 300,000-4,000,000 บาท แต่พวกที่ขาดทุนคือนคนรายได้น้อยก็เลยยิ่งจนไปใหญ่เพราะนึกว่าตัวเองได้ประโยชน์นั่นเอง
มาตราการสุดท้ายดีที่ว่ายกเลิกไปคือการให้เงินพิเศษคนละ
1,000 บาทแก่ข้าราชการชั้นผู้น้อย
ซึ่งถ้าให้เพราะว่าข้าราชการเหล่านั้นรายได้น้อยไปอันนี้โอเคแต่ว่าให้เพื่อไปจับจ่ายใช้สอยช่วงสงกรานต์ อันนี้ยังเป็นคำถามว่าจริงหรือ???
เพราะส่วนหนึ่งอาจไม่ใช้เพราะว่าเก็บไว้กลัวเงินไม่พอใช้ เพราะส่วนหนึ่งอาจนำไปใช้หนี้เดิม (ไม่ก่อให้เกิดผลผลิต)
ที่สำคัญข้าราชการเหล่านี้มีเงินเดือนอย่างน้อยก็ไม่น้อยกว่าค่าแรงขั้นต่ำอยู่แล้ว
ข้อสังเกตุว่าทำไมไม่เอาไปแจกชาวนาชาวไร่ชาวสวนยาง (ตัวจริง) ที่ผลผลิตตกต่ำทั้งแง่ปริมาณและราคา เกษตรกรเหล่านี้เอาเงินไปใช้แน่นอนเพราะทุกวันนี้ก็ไม่พอใช้อยู่แล้ว
และที่สำคัญซึ่งผมก็เขียนมาตั้งแต่สมัยคุณอภิสิทธิ์เป็นนายกตอนนั้นแจกคนละ
2,000
ให้กับคนประกันตนซึ่งก็มีรายได้อยู่แล้วให้ไปก็ดีแต่ให้เกษตรกรดีกว่ามั๊ย สงสัยกลัวคำว่าประชานิยมจนไม่กล้าช่วยเกษตรกรมั้ง
อีกอย่างหนึ่งทำไมไมดูที่ญี่ปุ่นเค้าแจกเป็นคูปองมีอายุด้วยหากไม่ใช้มันก็ไร้ค่าเมื่อหมดอายุ
ดังนั้นเงินทุกเยนที่แจกไปประชาชนเอามาใช้หมดครับ
จึงจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจที่น่าจะได้ผลดีกว่ามิใช่หรือ ??? ก็เลยขอจบท้ายว่า “อีกแล้วครับท่าน”