วันอังคารที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2559

“อีกแล้วครับท่าน”



 
                                ผ่านพ้นสงกรานต์ปี 2559 ไปด้วยยอดคนตายที่มากกว่าปี 2558  คือปี 2558 รวมเทศกาลสงกรานต์ 7 วัน มีคนตาย 364 คน อุบัติเหตุ 3,373ครั้ง  แต่ปี 2559 นี้ ทั้งๆที่เทศกาลสงกรานต์แค่ 6 วัน ตายถึง 397 คน  อุบัติเหตุ 3,104 ครั้ง  ทั้งๆที่มีมาตราการเข้มงวด  ยึดรถสำหรับคนดื่มแล้วขับแต่ทำไมยอดคนตายจึงมากกว่าปีก่อนๆทั้งที่มาตราการยังไม่เข้มข้น   อันนี้ก็ต้องหาสาเหตุและวิธีการแก้ไขกันต่อไป  แต่ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้  รัฐบาลมีมาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจซึ่งน่าจะเป็นแพคเกจที่4  คือมีทั้งให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ 4% แก่เอสเอ็มอี   ให้นำค่าใช้จ่าย โรงแรม ท่องเที่ยว อาหาร มาหักภาษีส่วนบุคคล  และตอนแรกว่าจะมีมาตราการแจกเงินข้าราชการชั้นผู้น้อยคนละ 1,000 บาท  ซึ่งทั้งสามมาตราการนี้ขออนุญาติไอ้เรืองแสดงความคิดเห็นในฐานะประชาชนคนธรรมดาดังนี้ครับ
                                มาตราการแรกการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแค่ 4 % แก่เอสเอ็มอี   แน่นอนการให้ดอกเบี้ยต่ำแก่เอสเอ็มอีก็ทำให้เอสเอ็มอีมีต้นทุนที่ถูกลง  ตามทฤษฎีแล้วก็จะทำให้มีความสามารถในการแข่งขันได้มากขึ้น   อันนี้ไม่เถียงแต่ผมขอตั้งข้อสังเกตุสองประการดังนี้  1.ถ้าขายของไม่ดี  หรือคาดว่าจะขายไม่ดี  เพราะขาดความเชื่อมั่นแล้วเอสเอ็มอีจะลงทุนเพิ่มหรือไม่ครับ  ในขณะนี่ยังมีกำลังผลิตเหลืออยู่   ง่ายๆว่าเครื่องจักรผมผลิตสินค้าได้เดือนละ 10,000 ชิ้น  แต่ทุกวันนี้ผลิตอยู่ 6,000 ชิ้น  และแนวโน้มก็ยังไม่ชัดเจนว่าจะขายดีขึ้นจนถึง 8,000 ชิ้นหรือไม่  (ถ้าเชื่อว่าถึงก็ต้องเริ่มคิดหาทางขยายกำลังผลิตครับ)  แล้วจะลงทุนขยายกำลังผลิตไปทำไม     2.ธนาคารก็คงเลือกปล่อยกู้ให้กับลูกค้าเก่าๆที่รู้ฐานะทางการเงินและประวัติทางการเงินดีอยู่แล้ว   มีซักกี่เปอร์เซนต์ที่ตามียายมาเดินเข้าไปขอกู้มาขยายกำลังผลิตแล้วได้เงินกู้แบบชิวๆ  อย่าลืมครับธนาคารไม่ต้องการที่ดินที่เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน  แต่เขาต้องการดอกเบี้ยจากเอสเอ็มอีครับ  ซึ่งสุดท้ายแล้วเอสเอ็มอีที่มีกำลัง  ฐานะทางการเงิน  ก็จะนำเงินกู้ก้อนนั้นไปรีไฟแนนซ์เงินกู้ที่ดอกเบี้ยสุงกว่า  แน่นอนก็เป็นการช่วยเอสเอ็มอีแต่ไม่ก่อให้เกิดผลผลิตมากเท่าที่ควรจะเป็นนั่นเอง  มันต้องกระตุ้นที่การสร้างความเชื่อมั่น  การหาตลาดให้เอสเอ็มอี(แบบที่ ดร.สมคิดทำ แต่ต้องทำมากขึ้นและคนอื่นๆต้องช่วยทำด้วย)   การกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยในประเทศ  การส่งเสริมการค้าชายแดน(ให้เข้มข้นขึ้น)  อย่าแต่พร่ำบ่นว่าเศรษฐกิจโลกแย่ๆๆๆๆๆๆๆ   แต่ทำไม ลาว เวียดนาม เขมร พม่า เศรษฐกิจเขาโตได้มากกว่าเราทั้งๆที่พื้นฐานเขาแย่กว่าเราไม่รู้เท่าใด  ( ไม่รู้ว่าจะแย่ไปกว่าเราอีกกีปีเพราะเขาจี้ก้นเรามาแว้วววว)
                                มาตราการให้นำค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยว  โรงแรม  ร้านอาหาร  ในช่วง 9-17 เมษายน 2559 มาลดภาษีส่วนบุคคล  แน่นอนในทางอ้อมกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยได้ในระดับหนึ่งแต่คงไม่ทั้งหมดที่ไปใช้จ่ายในช่วงนั้นเพราะต้องการนำมาลดภาษี   เพระเป็นช่วงเทศกาลที่ใครๆก็ต้องจับจ่ายใช้สอยอยู่แล้วนั่นเอง  ทำไม่ไม่ออกมาตราการในช่วงอื่นๆที่เป็นโลว์ซีซันไม่ค่อยมีคนจับจ่ายใช้สอยละครับพี่น้อง  แถมคนที่ใช้จ่ายโดยไม่จำเป็นอาจจะลืมไปว่า  การที่เราใช้เงินไป 15,000 บาทนั้น เราเอามาหักภาษีได้เพียง 1,500 บาท  (อันนี้คิดจากฐานภาษีที่ 10%  แต่คนส่วนใหญ่ในประเทศไทยไม่เสียภาษีเพราะรายได้ต่อเดือนต่ำกว่า 20,000  ) แถมจ่ายแว้ทให้รัฐไปอีก 1,050 บาท    และสรุปแล้วประชาชนขาดทุนหรือกำไร ???   พวกที่กำไรก็คือพวกที่ต้องจับจ่ายใช้สอยอยู่แล้ว  ซึ่งคนพวกนี้มีรายได้สูงเป็นแสนหรือหลายแสนซึ่งเสียภาษีที่อัตรา 10-35 % ก็คือพวกที่มีรายได้สุทธิ(หลังจากหักค่าใช้จ่ายต่างๆแล้วตามกรมสรรพากรประกาศ) อยู่ระหว่าง 300,000-4,000,000 บาท  แต่พวกที่ขาดทุนคือนคนรายได้น้อยก็เลยยิ่งจนไปใหญ่เพราะนึกว่าตัวเองได้ประโยชน์นั่นเอง
                                มาตราการสุดท้ายดีที่ว่ายกเลิกไปคือการให้เงินพิเศษคนละ 1,000 บาทแก่ข้าราชการชั้นผู้น้อย  ซึ่งถ้าให้เพราะว่าข้าราชการเหล่านั้นรายได้น้อยไปอันนี้โอเคแต่ว่าให้เพื่อไปจับจ่ายใช้สอยช่วงสงกรานต์  อันนี้ยังเป็นคำถามว่าจริงหรือ???  เพราะส่วนหนึ่งอาจไม่ใช้เพราะว่าเก็บไว้กลัวเงินไม่พอใช้   เพราะส่วนหนึ่งอาจนำไปใช้หนี้เดิม (ไม่ก่อให้เกิดผลผลิต)  ที่สำคัญข้าราชการเหล่านี้มีเงินเดือนอย่างน้อยก็ไม่น้อยกว่าค่าแรงขั้นต่ำอยู่แล้ว    ข้อสังเกตุว่าทำไมไม่เอาไปแจกชาวนาชาวไร่ชาวสวนยาง (ตัวจริง) ที่ผลผลิตตกต่ำทั้งแง่ปริมาณและราคา  เกษตรกรเหล่านี้เอาเงินไปใช้แน่นอนเพราะทุกวันนี้ก็ไม่พอใช้อยู่แล้ว  และที่สำคัญซึ่งผมก็เขียนมาตั้งแต่สมัยคุณอภิสิทธิ์เป็นนายกตอนนั้นแจกคนละ 2,000 ให้กับคนประกันตนซึ่งก็มีรายได้อยู่แล้วให้ไปก็ดีแต่ให้เกษตรกรดีกว่ามั๊ย   สงสัยกลัวคำว่าประชานิยมจนไม่กล้าช่วยเกษตรกรมั้ง   อีกอย่างหนึ่งทำไมไมดูที่ญี่ปุ่นเค้าแจกเป็นคูปองมีอายุด้วยหากไม่ใช้มันก็ไร้ค่าเมื่อหมดอายุ   ดังนั้นเงินทุกเยนที่แจกไปประชาชนเอามาใช้หมดครับ   จึงจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจที่น่าจะได้ผลดีกว่ามิใช่หรือ ???    ก็เลยขอจบท้ายว่า  “อีกแล้วครับท่าน”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ขายรัย...ทำไมเราอิน (มาก)

                                                   เครดิตภาพจาก "เฟสบุคไทรสุก"           สองอาทิตย์ก่อนไปเห็นน้องคนหนึ่งที่เป็...