เมื่อสัปดาห์ก่อนประธานาธิบดีบารัค โอบามา
ได้มาเยือนประเทศเวียดนามโดยบินข้ามหัวประเทศไทยไปเยือนเวียดนาม
อันนี้ไม่แปลกเพราะสหรัฐเค้าประเทศประชาธิปไตยจ๋า
เวลาประเทศใดมีรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งก็มักจะตั้งแง่รังเกียจ
และไม่เยี่ยมเยียนอย่างเป็นทางการหรือเรียกว่าปรับระดับ(ไม่ได้ลด)
ความสัมพันธ์รอจนกว่าจะได้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ก็ว่ากันไปเอาที่สบายใจก็แล้วกันนะ
แต่ที่น่าสนใจคือการเยี่ยมเยียนครั้งนี้มีสัญญาณหลายอย่างที่ไม่น่าเชื่อว่าประเทศที่รบกันแทบตามเมื่อหลายสิบปีก่อน กลับมาจูบปากกันได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ ที่สำคัญมีภาพๆหนึ่งที่ออกมาทั้งในสื่อทีวี และ
หนังสือพิมพ์ คือโอบามาไปนั่งกินก๋วยเตี๋ยวเฝอในร้านแบบบ้านๆธรรมดาเรียกว่าห้องแถว อันนี้ไม่แปลกเท่าใด คลินตันก็เคยไปกินมาเดิมผมนึกว่าร้านเดียวกันกับที่ผมเคยไปนั่งกินและโต๊ะเดียวกันเรย
เพราะว่าทางร้านเขาถ่ายรูปไว้เป็นการประชาสัมพันธ์ร้า ร้านนี้อยู่ตรงหัวมุมถนนตรงตลาดบินถัน ที่นักช้อปไทยรู้จักกันดีนั่นเอง
ที่แตกต่างกันไปคือไปนั่งกินแบบเดียวกับชาวบ้าน โดยมีชาวบ้านทั่วไปมานั่งกินกันตามปกติ เรียกว่าไม่ใช่ปิดร้านและปิดถนนอีก
หลายกิโลเมตรเพื่อรักษาความปลอดภัย
เพราะว่าประธานธิบดีสหรัฐนั้นเป็นที่ทราบกันดีว่าเวลาเดินทางไปต่างประเทศจะมีกองกำลังรักษาความปลอดภัยของตนเอง รถหุ้มเกราะ เครื่องบินแอร์ฟอร์สวัน ฯลฯ
แต่นี่เล่นไปนั่งกลางตลาดกับชาวบ้าน
กินแบบชาวบ้าน แค่มี รปภ
คุ้มกันนิดหน่อย (เมื่อเทียบกับปกติ)
สร้างภาพแน่นอน แต่วัตถุประสงค์ละครับจะสื่อถึงอะไร จะบอกอะไรกับชาวเวียดนามและชาวโลก ????? อยากจะบอกว่าฉันรักเธอนะ ฉันไม่เคยทำอย่างนี้กับประเทศใดมาก่อนเรยนะ หรือฉันขอโทษนะที่เคยมาบอมบ์เธอเมื่อหลายสิบปีก่อน
น่าจะเป็นอีกหน้าประวัติศาสตร์หนึ่งของอเมริกา
สินค้า
และ บริการ ละครับ....................ต้องสร้างภาพหรือไม่
.........แน่นอนต้องสร้างภาพที่ภาษาทางการบริหารการตลาดเรียกว่า ประชาสัมพันธ์ (PUBLIC RELATION )
ซึ่งหมายถึงการสื่อสารกับลูกค้าเป้าหมายเพื่อให้ ชม
ชอบ ใช้ ช่วย
แชร์ (สำหรับคนรุ่นใหม่ใช้สื่อโซเชียล
มนุษย์ลุงมนุษย์ป้า บ่
ฮู้จัก) ซึ่งก็ต้องมีดีให้ชม ชอบ ใช้ ช่วย และ แชร์ เช่นคุณตัน เจ้าพ่ออิชิตัน ภาพที่แกใส่หมวกไปไหนมาไหน ก็เป็นการสร้างภาพให้คนได้จดจำในตัวแก บุคลิค
และถ่ายโอนภาพนั้นไปยังสินค้าอิชิตันนั่นเอง
มีเส้นบางเล็กๆระหว่างโฆษณากับประชาสัมพันธ์ที่นักศึกษาถามผมบ่อยๆว่ามันต่างกันอย่างไร ผมสรุปง่ายว่า “โฆษณาใช้เงินสื่อ (สื่อ / เวลา ) แต่ ประชาสัมพันธ์ใช้เงินสร้าง
(เพื่อให้สื่อนำไปเผยแพร่) “
ซึ่งการประชาสัมพันธ์นั้นนับวันจะมีบทบาทมากขึ้น
เพราะผู้บริโภคฉลาดขึ้นไม่เชื่อสื่อโฆษณาแบบฮาร์ดคอร์เต็มๆ ลดแลกแจกแถมแบบถล่มทลาย แต่มักให้ความสนใจในสื่อประชาสัมพันธ์มากขึ้น
รวมทั้งการจัดกิจกรรมต่างๆซึ่งก็จะสามารถเจาะกลุ่มเป้าหมายได้โดยตรง เช่น
อุปกรณ์กีฬา เป็นผู้สนับสนุนการเดิน / วิ่ง ไม่ว่าจะการกุศลหรือไม่ แต่คนที่มาเป็นคนที่เล่นกีฬาแน่อนอน ไม่ว่าจะเล่นแบบจริงจังหรือครั้งคราวก็ตาม
เร็วๆนี้ผมได้ไปร่วมแข่งวิ่ง(น่าจะเรียกเดือนมากกว่า
..55) แข่งเสร็จก็มีบูทของสบู่นกแก้ว
มาแจกตัวอย่างขวดเล็กๆสองขวดแต่ต้องไปถ่ายรูปซึ่งมีกรอบประชาสัมพันธ์สินค้าอยู่ด้วย
แน่นอนมีมืออาชีพมาถ่ายเราก็ขอแอ้ปแบ้วถ่ายให้เรย และต้องนำไปโพสในเฟสบุคหรือสื่อโซเชียลทั้งหลายเป็นแน่แท้
ก็เรียบร้อยโรงเรียนนกแก้วไปเลยเพราะลงทุนแค่ 15,000 บาท / การพิมพ์รูปให้ 500
คนที่มาร่วมงาน แถมคน 2000-3000 คนที่มาร่วมงานได้เห็นสินค้า คน 500 คนนี้ช่วยประชาสัมพันธ์ให้นกแก้วแบบฟรีๆ
ไป เนียนมาก ขอบอก.......................