ญี่ปุ่นไปได้ทั้งปีไม่รู้ใครเอ่ยเป็นคนแรก แต่ผมคนหนึ่งละครับที่ต้องตอบว่า
“จริงจ๊ะ” เมื่อสัปดาห์ก่อนได้มีโอกาสไปญี่ปุ่นที่ไปครั้งนี้ก็แบบขำๆ
คือตอบตรงๆว่าไปสะสมไมล์เพื่อรักษาสถานะภาพบัตรทอง
ที่เรียกได้ว่าคุ้มค่ากับการที่ต้องเสียงเงินเพื่อสะสมให้ครบ คือมีไมล์ใกล้จะครบเพื่อรักษาสถานะบัตรทองเดิมอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าบินๆไปเรื่อยๆให้ครบไมล์เพื่อได้บัตรทองนะครับ
แถมไปครั้งนี้มีเหตุการณ์พิเศษอยู่สองเหตุการณ์ คือ
หนึ่งได้ไปดูวอลเล่ย์บอลคัดเลือกไปโอลิมปิคคู่ไทยแข่งกับคาซัคสถาน แถมมีบัตรคู่ไทยแข่งกับเกาหลีไต้แต่ไม่ได้อยู่ดูเพราะเวลาไม่พอต้องบินกลับตอนเที่ยง ต้องขอขอบคุณ ดร.ชัย นิมากร
อุปนายกสมาคมวอลเล่ย์บอลที่ช่วยอนุเคราะห์บัตรคับ ผลการแข่งขันคงไม่ต้องพูดถึงแค่บอกว่า
“พวกเธออยู่ในใจลุงป้าน้าอาพี่น้องคนไทยแม้ว่าจะไม่ได้ไปโอลิมปิคก็ตามที เธอเหล่านั้นได้ใจคนไทยทั้งประเทศไปครองอย่างหมดหัวใจแว้วววว.......
ประการที่สองคือเป็นการเดินทางไปญึ่ปุ่นที่เรียกได้ว่า ไปคนเดียวไม่มีใครมารับ ไม่ได้ไปกับทัวร์ ไม่มีคู่ค้า
เพื่อน มาจอยเลย ทุกอย่างต้องดำเนินการเองทั้งตั๋วเครื่องบิน โรงแรม
(อันนี้ไม่ยากเพราะทำเป็นประจำเกือบทุกเดือนอยู่แล้ว) แต่ที่พิเศษคือการเดินทางในญี่ปุ่น และ จัดทริปท่องเที่ยวเอง แม้จะเคยไปทริปเองในหลายๆประเทศมาแล้วก็ตาม
แต่ญี่ปุ่นนี่ขอบอกว่าเป็นอะไรที่ไม่ง่ายเลยโดยเฉพาะอย่างยิ่งรถไฟไต้ดิน
หรือ บนดิน ก็ตาม เพราะมันสะดวกมาก มีมากจนงง ไปหมด ระบบการเดินรถ หรือ การดูแผนผัง
รถไฟก็ไม่ยากใช้หลักคิดและวิธีการคล้ายกันกับประเทศอื่นๆ แต่ที่งง
ซุปเปอร์งง ก็คือทางออกครับ พอดีไปพักในบริเวณสถานีรถไฟชินจูกุ
ซึ่งสถานนี้ผมเชื่อว่าเป็นสถานีที่น่าจะใหญ่สุดในโตเกียวนะครับ มีหลายสถานีที่ชื่อ ขึ้นต้นหรือลงท้าย ชินจูกุ
อยู่ติดต่อกัน(ทางใต้ดิน) มีทางออกหลายทางมากมายผมเดาๆว่าน่าจะกว่า 40 ทางออก
เพราะใต้ดินมันเชื่อมถึงกันหมดเลย
ขาลงไม่มีปัญหา ลงตรงใดก็ดูป้ายสถานีหรือระบบรถที่เราจะใช้บริการ แต่ตรงขาออกนี่งงมาก
ทุกรอบออกไม่ตรงกับทางที่เข้าเลยซักครั้งหนึ่ง แต่ก็อาศัยอาจารย์กูเกิ้ล และอาจารย์ปาก พาไปยังที่พักได้อย่างปลอดภัย
ในญี่ปุ่นมีบัตรที่เรียกว่าบัตรเติมเงินใช้ภาษาอังกฤษว่า บัตร IC
มีสองค่ายคือ ซุยกา(SUICA) และ พาสโม (PASSMO)
ซึ่งต้องขอบอกว่าของเขาดีจริงๆใช้ได้ทุกอย่าง รถไฟ
รถเมล์ รถแท๊กซี่ ซื้อของ จ่ายค่าบริการต่างๆ ก็เป็นบัตรเติมเงินเหมือนบัตรเซเว่นนี่แหละแต่ว่ามันใช้ครอบคลุมได้เกือบทุกบริการ แถมเติมได้ที่สถานี้รถไฟ จากตู้อัตโนมัติ ในร้านสะดวกซื้อ ทำให้การซื้อบัตรรถไฟใต้ดินสะดวกมาก ไม่ต้องไปดูว่าจะไปสถานีใดค่ารถไฟเท่าใด
เพียงแต่ตอนเข้าแตะที่เครื่องมันจะบอกว่าเงินเหลืออยู่เท่าใด ตอนออกก็แตะออกมันก็บอกว่าค่ารถไฟเท่าใดและเงินในบัตรเหลือเท่าใด ไม่ต้องยุ่งยากไม่ต้องมีเหรียญเต็มกระเป๋า
อีกเรื่องหนึ่งที่ขอนำมาขยายความคือได้ไปดูโชว์ ROBOT RESTUARANT ได้ยินเรื่องโชว์นี้นานมาแล้วมาครั้งนี้ได้มีโอกาสไปดูจริงๆซะทีแต่ว่าค่าดูแพงชมัดเรย 8,000 เยน ก็ประมาณ 2,800 บาท เรื่องของเรื่องก็คือเป็นการแสดงประกอบเพลง แต่ที่แปลกคือนักแสดงแต่งกายแบบคอสเพลย์คือเหมือนในหนังการ์ตูน หรือโรบอท ซุปเปอร์ฮีโร่ประมาณนี้ แสดงสีเสียงตระการตาและเร้าใจ แต่ที่ไม่ธรรมดาเพราะแกมีช่วงพักถึงสองช่วงเอาไว้ขายของพวกข้าวโพดคั่วกับเครื่องดื่มๆ เพราะค่าบัตรไม่มีอะไรเรยนอกจากที่นั่งปล่าวๆ ติว่าเวทีแคบไปนิดนึ่งมองได้ไม่เต็มตา เพราะเวทีมันยาว มีคนดูอยู่บนที่นั้ง สี่แถว ทั้งสองด้าน ทีนี้พอนักแสดงไปอีกด้านก็ต้องชะโงกดู นี่ถ้ามาแสดงเมืองไทยเวทีกว้างคงน่าชมมากกว่านี้เป็นแน่ก็ต้องเข้าใจว่าที่ดินในญี่ปุ่นมันแพงยิ่งย่านชินจูกุด้วยแล้ว
เห็นตัวเลขนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นแล้วอิจฉา
24-25 ล้าน โตแบบก้าวกระโดดโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากจีน และ อาเซียน
(ที่ยกเลิกวีซ่า)
ไทยมีองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวมาห้าสิบปี ตอนนี้ปรับมาเป็น ททท. ได้เพิ่งมีนักท่องเที่ยว
28-29 ล้านเมื่อปี 2558
นี่เห็นว่าญี่ปุ่นประกาศว่าเป้าหมาย 30 ล้าน ในอีกสองสามปีข้างหน้า ก็เห็นจะเป็นจริงได้อย่างแน่นอน เพราะเหตุผลว่า
1.ค่าตั๋วเครื่องบินถูกลงมาก ยิ่งมีโลว์คอสแอร์ไลน์มา ยี่สิบปีที่แล้วไปญี่ปุ่นก็ประมาณ 50,000
พ.ศ.นี่ก็ประมาณ 50,000 เท่าๆกัน (ไปโลว์คอส 30,000 กว่าเอง)
แต่รายได้คนไทยสูงขึ้น 2.มีหนังสือ
เว็บ บล้อก แบบว่าท่องเที่ยวเองก็ได้
3.คนรุ่นใหม่ อายุน้อยกว่า30 ปี ภาษาอังกฤษดีกว่าคนรุ่นพ่อแม่ วิถีชีวิตชอบท่องเที่ยวเอง สว.ชอบไปกับทัวร์อ่า และร้านรวง คนญี่ปุ่น
ก็พูดภาษาอังกฤษได้มากขึ้น
ป้ายต่างๆก็เป็นภาษาอังกฤษ 3.วีซ่าไม่ต้อง
ก็เป็นอันจบทริปญี่ปุ่นอโลนแบบด้วนๆว่า “ญี่ปุ่นไปได้ทั้งปีจริงๆ ขอบอก”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น