เมื่อก่อนถามว่าคู่แข่งของธนาคากรุงเทพคือใคร?
คำตอบคงไม่พ้นธนาคารกสิกร ธนาคากรุงไทย
ฯลฯ ซึ่งก็คือธนาคารคู๋แข่งขันนั่นเองซึ่งในภาษาการตลาดแล้วเราหมายถึงคู่แข่งที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน เช่นธนาคาสถาบันการเงินก็คือธนาคาร ไฟแนนซเป็นต้น
แต่จากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นมาจนเราสามารถทำธุรกรรมต่างๆแบบออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นผ่านทางคอมพิวเตอร์ ทางสมาร์ทโฟน ฯลฯ ทำให้คู่แข่งขันเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
เมื่อก่อนถ้าจะโอนเงินให้กับใครสักคนหนึ่งมีแค่สองวิธี คือ ธนานัติ
กับ ตั๋วแลกเงิน
อันนี้นานมากแล้วพวกอายุน้อยกว่า 30 อาจจะไม่รู้จัก ซึ่งต้องไปดำเนินธุรกรรมที่ไปรษณีย์ซึ่งปัจจุบันก็ยังมีให้บริการอยู่ซึ่งสะดวกสำหรับคนในชนบทเป็นสำคัญ ต่อมาก็บริการโอนเงิน ชำเระเงินผ่านทางธนาคาร ปัจจุบันเราสามารถโอนเงิน/ชำระเงิน ผ่านได้ทั้งร้านสะดวกซื้อ ห้างสรรพสินค้า ร้านค้าที่มีบริการ ฯลฯ มากมายรวมทั้งการโอน /
ชำระ ผ่านระบบออนไลน์ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น
ฟินเทค
(FINTECH) เป็นชื่อที่นำเอาคำว่า FINANCIAL และ TECHNOLOGY มาผสมกัน นาทีนี้เทคโนโลยีได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตทุกคนเรียบร้อยแล้ว
ในหลากหลายรูปแบบ และอีกไม่นาน “ฟินเทค” หรือ ไฟแนนเชียล เทคโนโลยี (Financial Technology) จะเข้ามามีบทบาทกับชีวิตคนไทยมากยิ่งขึ้น
พื้นฐานเลยก็คือ บัตรเอทีเอ็ม บัตรเดบิท จนมาถึงโมบายโฟน ฟินเทคจึงเป็นการประยุกต์เทคโนโลยีดิจิทัลเข้าสู่การทำธุรกิจและธุรกรรมทางการเงิน เป็นการร่วมมือกันระหว่างผู้ประกอบการและสถาบันการเงินที่เอื้อประโยชน์กัน รวมทั้งบัตรเติมเงินต่างๆเช่นของ
เซเว่นอีเลฟเว่นลองนึกเล่นๆดูนะครับถ้าอนาคตบัตรเซเว่นนี้สามารถใช้จ่ายค่ารถไฟฟ้า จ่ายค่าอาหาร
จ่ายซื้อบัตรชมคอนเสิร์ต ฯลฯ
อะไรจะเกิดขึ้น
ธุรกิจและผลประกอบการของธนาคารจะเป็นอย่างไร คู่แข่งขันของธนาคาไม่มีเพียงแต่ธนาคารคู่แข่งชันเท่านั้น หากท่านจำได้ในบทความก่อนผมได้กล่าวถึงบัตรซุยก้า
(SUICA)
ซึ่งเป็นบัตรเติมเงินของญี่ปุ่นสามารถใช้จ่ายเงินได้อย่างสะดวก
จ่ายค่ารถไฟก็ไม่ต้องดูว่าลงสถานีใดค่าโดยสารเท่าใดจึงค่อยหยอดเหรียญซื้อบัตรถไฟ แค่นำบัตรนี้ (ในญี่ปุ่นเรียก IC)
ไปแตะที่ทางเข้าตอนถึงปลายทางก็แตะที่ทางออกสะดวกสบายดีมากครับ
เร็วๆนี้รัฐบาลบอกว่าจะเอาเลขบัตรประชาขนไปผูกติดกับบัญชีธนาคารเมื่อสำเร็จแล้วก็ถือเป็นเครื่องมืออันหนึ่งในการอำนวยความสะดวกในการรับจ่ายเงินทั้งในส่วนของรัฐบาล
และผมเชื่อว่าในอนาคตคงขยายไปถึงการทำธุรกรรมกับภาคเอกชนกับประชาชนทั่วไป
วันนี้ถ้เดินผ่านร้านเซเว่นลองสักเกตุดูนะครับ บางร้านที่อยู่ในย่านที่มีนักท่องเที่ยวชาวจีนอยู่ละก็จะเป็นมีป้ายหน้าร้านใหญ่โตที่เดียวบอกว่า
“ยินดีรับบัตรอาลีเปย์”
พอเห็นชื่ออาลีก็คงคาดเดาได้นะครับว่าเป็น
ALIBABA ของแจ๊กหม่านั่นเอง
เขาสามารถพัฒนาให้บัตรเติมเงินของเขาสามารถใช้ไปได้ทั่วโลกแล้วครับ
เรียกได้ว่าบัตรเครดิตมีหนาวเลยงานนี้ซึ่งอาจจะยังไม่หนาวมากครับเพราะว่าบัตรเติมเงินนี้ชื่อมันก็บอกอยู่แล้วว่าไม่ใช่บัตรเครดิต แต่อย่าลืมนะครับว่าในอนาคต (เชื่อว่าอันอีกไม่นาน)
อาลีเปย์ก็จะมีฐานข้อมูลลูกค้าในเรื่องการจับจ่ายใช้สอย รวมทั้งพฤติกรรมการใช้จ่ายเงิน ฟันธงเรยว่าอนาคตก็จะพัฒนาเป็นบัตรดูอัล คือสามารถใช้ได้ทั้งเป็นบัตรเติมเงินและบัตรเครติดในตัวเองด้วย หรือพัฒนาลูกเล่นอื่นๆให้ตอบรับกับพฤติกรรมและอำนาจการซื้อของลูกค้า
ที่เซเว่นเราอาจไม่ค่อยเห็นชัดเรื่องบัตรอาลีเปย์นี้
แต่ถ้าอยากดูให้ไปที่คิงส์พาวเวอร์ซอยรางน้ำครับ ช้อปและรูดกระจายครับอาลีบาบากับตะเกียงวิเศษมาช่วยเสกให้เศรษฐกิจไทยยังไปต่อได้ในชั่วโมงนี้เพราะเครื่องยนต์ทุกตัวสำหรับเศรษฐกิจไทย
ไม่ดับก็เดี้ยงเหลืออยู่สองตัวที่คอยขับเคลื่อนอยู่คือ
การท่องเที่ยวและการลงทุนภาครัฐ
ซึ่งการลงทุนภาครัฐก็มีข้อจำกัดหลายประการทั้งระบบราชการและกระบวนการต่างๆ
เรียกได้ว่าหลักๆมาจากท่องเที่ยวและนักท่องเที่ยวเกือบครึ่งมาจากจีนแม้จะใช้จ่ายต่อหัวน้อยกว่านักท่องเที่ยวยุโรป อเมริกา และญี่ปุ่น แต่เมื่อคูณด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวแล้วก็เป็นมูลค่ามหาศาลที่คอยจุนเจือเศรษฐกิจไทยเป็นสำคัญ ไม่อยากนึกเลยว่าถ้าเศรษฐกิจจีนฟองสบู่แตก
ซึ่งผมเคยกล่าวมาหลายปีแล้วเพราะไปเมืองจีนเห็นตึกร้างมากมาย
แต่ก็มีการสร้างตึกใหม่ๆอยู่ติดกันมันอะไรกันแน่???
ถ้าเศรษฐกิจจีนแตกดังโพ๊ละเมื่อใดก็ตัวใครตัวมันนะโยม ฟิน....ก็จะหาย ฟิน ไปในบัดดลเลยละครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น