วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2559

“ซื้อกิจการ....มั๊ย”



                ข่าวการเทคโอเวอร์หรือซื้อกิจการของบริษัทในประเทศจีนที่เน้นการขยายตัวด้วยการซื้อกิจการมีมาเป็นระยะๆ   ไม่ว่าจะเป็นเลอโนโวซื้อกิจการไอบีเอ็ม   ปีสองปีนี้ มีการเทคโอเวอร์ที่ใหญ่อีกหลายรายการ  ไม่ว่าจะเป็นมีเดียกรุ๊ปซึ่งเป็นบริษัทผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า  ได้เข้าซื้อกิจการของโตชิบ้าด้วยเงินกว่า 473 ล้านเหรียญ ไฮเออร์บริษัทยักษ์ใหญ่ซื้อกิจการของจีอีอีเลคทริคด้วยเงินถึง 5,400 ล้านเหรียญ  หรือล่าสุดอาลีบาบาเข้าซื้อกิจการของลาซาด้าซึ่งเป็นบริษัทขายของออนไลน์ที่เชื่อว่าใหญ่ที่สุดในโลก  โดยมีเป้าหมายเพื่อขยายตลาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  หรืออาเซียนซึ่งมีประชากรถึง 600 กว่าล้านคน  เมื่อรวมอินเดียเข้าไปด้วยก็เป็น 2,000 ล้านคน  แต่เมื่อรวมกับจีน อีก 1,300 ล้าน  ก็รวมเป็นลูกค้าที่อยู่ในมือของอาลีบาบา  3,300 ล้านคน จากจำนวนประชากรในโลก 7,000 ล้านคนเศษหรือเกือบครึ่งหนึ่งของประชากรโลก   ในปี 2558 บริษัทจีนใช้เงินเพื่อเทคโอเวอร์บริษัทข้ามชาติทั้งหลายรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 656,000 ล้านเหรียญ หรือเทียบเป็นเงินไทย ประมาณ 22,960,000 ล้านบาท  อ่านว่า..... 22.9 ล้านๆบาท ในขณะที่งบประมาณของรัฐบาลไทยคือ 2.72 ล้านๆบาท   เรียกได้ว่าเท่ากับงบประมาณรายจ่ายของรัฐบาลไทยประมาณเกือบ 10 ปีที่เดีย    ข่าวล่าสุดว่าในไตรมาสแรกของปีนี้มีการเทคโอเวอร์ทั่วโลกเป็นเงินถึง 682,000 ล้านเหรียญ โดยเป็นบริษัทจีนที่เข้าเทคโอเวอร์ถึง 15% คิดเป็นเงิน  102,300 เหรียญ    การเทคโอเวอร์หรือการซื้อกิจการนั้นก็เป็นกลยุทธ์หนึ่งในการขยายกิจการที่รวดเร็ว  และสิ่งที่ได้ตามมาคือแบรนด์ที่ไม่ต้องเริ่มสร้างใหม่   รวมทั้งสิ่งที่สำคัญคือ.............เวลา  ที่เงินหาซื้อไม่ได้ครับพี่น้อง
                        บริษัทในประเทศไทยก็มีการซื้อกิจการในต่างประเทศอยู่เหมือนกันไม่ว่าจะเป็น  ห้างเซ็นทรัลซื้อกิจการห้าง  "ลา รินาเชนเต้" ที่มีความเก่าแก่เกือบ 150ปี  ตั้งอยู่ติดกับวิหารดูโอโมที่ใครๆก็ต้องไปเยือน  หรือซื้อห้างบิ๊กซีในเวียดนามเพื่อปักธงค้าปลีกในเวียดนา   อีกบริษัทที่เป็นเจ้าพ่อเทคโอเวอร์ในประเทศไทยคือไทยเบฟของเจ้าสัวเจริญ  ไม่ว่าจะเข้าเทคโอเวอร์แมคโคร ด้วยมูลค่าถึง  188,000 ล้านบาทในปี 2556  ......ยัง !!!   ชั้นยังไม่พอ    ก่อนหน้านั้น   @@@   ข้าเทคโอเวอร์ครั้งประวัติศาสตร์คือซื้อ เอฟแอนด์เอ็นในสิงค์โปร มูลค่าการซิ้อกิจการที่ใหญ่สุดในประวัติของชาติอาเซียน ประมาณ ราว 11,200 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 3.36 แสนล้านบาท ในปี 2555....อุแม่จ้า.......
            ล่าสุดเรยคือการที่คิงพาวเวอร์ทุ่มเงิน 8,000 ล้านบาท เข้าซื้อกิจการของไทยแอร์เอเชียโดยถือหุ้นใหญ่ เกือบ 40% เป็นการต่อยอดธุรกิจของคิงพาวเวอร์เองที่ทำธุรกิจขายสินค้าปลอดภาษี  ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีอายุของสัมปทานถ้าหมดลงเมือใดความไม่แน่อนก็อาจเกิดขึ้นได้  แม้ว่าจะมีเส้นสายคอนเนคชั่นจนถึงกับมีข่าวว่าอาจจะตั้งพรรคการเมืองเอง หุหุ...แต่ผมฟันธงว่าคุณวิชัย  คงไม่นำอนาคตมาทิ้งในบั้นปลายสู้เป็นเจ้าของแชมป์พรีเมียลีค  เจ้าของไทยแอร์เอเชีย  เจ้าของคิงพาวเวอร์  เจ้าของทีมโปโล มีความสุขจังตังอยู่เกือบครบดีกว่าครับ  สู้อยู่เบื้องหลังดีกว่าไม่เจ็บตัวชิมะ....... ทีแรกก็สงสัยว่าทำไมคุณวิชัยถึงซื้อไทยแอร์เอเชีย    ลำพังคำตอบตอนแถลงข่าวว่าเพราะเพื่อขยายตลาดการขายสินค้าปลอดภาษีนั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่ง   แต่ผมคิดว่าคงเป็นเพราะธุรกิจการบินกำลังเติบโตอย่างที่ใครๆก็เห็นกันอยู่ จะเห็นได้จากผลประกอบการของไทยแอร์เอเชีย   ตั้งเป้าหมายว่าจะมีผู้โดยสารถึง  17 ล้านคน   อุ๊ตะ....  แค่ไตรมาสแรกของปี 2559  มีผู้โดยสารถึง 4.37 ล้านคน  เทียบกับการบินไทยที่มีผู้โดยสาร  5.92 ล้านคน อีก3-5 ปี มากกว่าการบินไทยแน่นอน  อัตราการโหลดแฟคเตอร์สูงถึง 88% ( คืออัตราบรรทุกผู้โดยสารเฉลี่ยต่อเที่ยว)  ในขณะที่การบินไทยในปี 2558 อัตราโหลดแฟคเตอร์อยู่ที่ 73%   แม้จะมียอดขายในไตรมาสแรก 50,315 ล้านบาท กำไรถึง 5,999 ล้านบาท  แต่ก็คงต้องลงไปดูในรายละเอียดว่ากำไรมาจากที่ใด   เพราะว่าผลประกอบการสามปีย้อนหลัง ขาดทุนปีละ  12,000-15,000 ล้านบาทรวมสามปี 2556-2558 ขาดทุนไป  ประมาณ 40,000 ล้านบาท 
                        สุดท้ายเลยเมื่อคุณวิชัยซึ่งเป็นเจ้าของคิงพาวเวอร์และเลสเตอร์ซิตี้แชมป์พรีเมียลีกแล้ว  ถ้าคำนึงถึงความคุ้มค่าทางการตลาดแล้วละก็เชื่อได้ว่าเมื่อหมดสัญญากับทางคิงพาวเวอร์   หน้าอกเสื้อของ่จิ้งจอกสยามคงเปลี่ยนเป็นไทยแอร์เอเชียเป็นแน่   ทั้งนี้เพราะการโฆษณาคิงพาวเวอร์ที่อกเสื้อเลสเตอร์ไม่คุ้มค่าทางการลงทุนแน่นอน  เพราะธุรกิจมีแต่ร้านดิวตี้ฟรีในประเทศไทยเท่านั้นซึ่งลูกค้าคือนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเมืองไทย  แม้จะนิยมในตราสินค้าก็มิอาจมาเป็นลูกค้าผิดกับไทยแอร์เอเชีย  หรือ แอร์เอเชียซึ่งลูกค้ามีจำนวนมากกว่าก็จะสามารถสร้างความคุ้มค่ทางการตลาดได้มากกว่า    แต่................ทั้งนี้ยกเว้นว่ามีเหตุผลอื่นๆก็มิอาจคาดเดาได้ว่าโฆษณาบนหน้าอกเสื้อจิ้งจอกสยามอาจไม่เปลี่ยนก็ได้   WAIT  AND SEE  ~~~~~~~~~

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ขายรัย...ทำไมเราอิน (มาก)

                                                   เครดิตภาพจาก "เฟสบุคไทรสุก"           สองอาทิตย์ก่อนไปเห็นน้องคนหนึ่งที่เป็...