ข่าวการเทคโอเวอร์หรือซื้อกิจการของบริษัทในประเทศจีนที่เน้นการขยายตัวด้วยการซื้อกิจการมีมาเป็นระยะๆ ไม่ว่าจะเป็นเลอโนโวซื้อกิจการไอบีเอ็ม ปีสองปีนี้
มีการเทคโอเวอร์ที่ใหญ่อีกหลายรายการ
ไม่ว่าจะเป็นมีเดียกรุ๊ปซึ่งเป็นบริษัทผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า ได้เข้าซื้อกิจการของโตชิบ้าด้วยเงินกว่า 473
ล้านเหรียญ ไฮเออร์บริษัทยักษ์ใหญ่ซื้อกิจการของจีอีอีเลคทริคด้วยเงินถึง 5,400 ล้านเหรียญ
หรือล่าสุดอาลีบาบาเข้าซื้อกิจการของลาซาด้าซึ่งเป็นบริษัทขายของออนไลน์ที่เชื่อว่าใหญ่ที่สุดในโลก
โดยมีเป้าหมายเพื่อขยายตลาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียนซึ่งมีประชากรถึง 600
กว่าล้านคน
เมื่อรวมอินเดียเข้าไปด้วยก็เป็น 2,000
ล้านคน แต่เมื่อรวมกับจีน อีก 1,300 ล้าน
ก็รวมเป็นลูกค้าที่อยู่ในมือของอาลีบาบา
3,300 ล้านคน จากจำนวนประชากรในโลก 7,000
ล้านคนเศษหรือเกือบครึ่งหนึ่งของประชากรโลก
ในปี 2558
บริษัทจีนใช้เงินเพื่อเทคโอเวอร์บริษัทข้ามชาติทั้งหลายรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 656,000 ล้านเหรียญ หรือเทียบเป็นเงินไทย ประมาณ 22,960,000 ล้านบาท
อ่านว่า..... 22.9 ล้านๆบาท ในขณะที่งบประมาณของรัฐบาลไทยคือ 2.72
ล้านๆบาท
เรียกได้ว่าเท่ากับงบประมาณรายจ่ายของรัฐบาลไทยประมาณเกือบ 10 ปีที่เดีย
ข่าวล่าสุดว่าในไตรมาสแรกของปีนี้มีการเทคโอเวอร์ทั่วโลกเป็นเงินถึง 682,000 ล้านเหรียญ
โดยเป็นบริษัทจีนที่เข้าเทคโอเวอร์ถึง 15% คิดเป็นเงิน 102,300 เหรียญ
การเทคโอเวอร์หรือการซื้อกิจการนั้นก็เป็นกลยุทธ์หนึ่งในการขยายกิจการที่รวดเร็ว
และสิ่งที่ได้ตามมาคือแบรนด์ที่ไม่ต้องเริ่มสร้างใหม่ รวมทั้งสิ่งที่สำคัญคือ.............เวลา ที่เงินหาซื้อไม่ได้ครับพี่น้อง
บริษัทในประเทศไทยก็มีการซื้อกิจการในต่างประเทศอยู่เหมือนกันไม่ว่าจะเป็น ห้างเซ็นทรัลซื้อกิจการห้าง "ลา รินาเชนเต้"
ที่มีความเก่าแก่เกือบ 150ปี
ตั้งอยู่ติดกับวิหารดูโอโมที่ใครๆก็ต้องไปเยือน หรือซื้อห้างบิ๊กซีในเวียดนามเพื่อปักธงค้าปลีกในเวียดนา
อีกบริษัทที่เป็นเจ้าพ่อเทคโอเวอร์ในประเทศไทยคือไทยเบฟของเจ้าสัวเจริญ ไม่ว่าจะเข้าเทคโอเวอร์แมคโคร ด้วยมูลค่าถึง 188,000 ล้านบาทในปี 2556 ......ยัง !!! ชั้นยังไม่พอ
ก่อนหน้านั้น @@@ เข้าเทคโอเวอร์ครั้งประวัติศาสตร์คือซื้อ
เอฟแอนด์เอ็นในสิงค์โปร มูลค่าการซิ้อกิจการที่ใหญ่สุดในประวัติของชาติอาเซียน ประมาณ ราว 11,200 ล้านเหรียญสหรัฐ
หรือ 3.36 แสนล้านบาท ในปี 2555....อุแม่จ้า.......
ล่าสุดเรยคือการที่คิงพาวเวอร์ทุ่มเงิน 8,000 ล้านบาท เข้าซื้อกิจการของไทยแอร์เอเชียโดยถือหุ้นใหญ่
เกือบ 40%
เป็นการต่อยอดธุรกิจของคิงพาวเวอร์เองที่ทำธุรกิจขายสินค้าปลอดภาษี
ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีอายุของสัมปทานถ้าหมดลงเมือใดความไม่แน่อนก็อาจเกิดขึ้นได้ แม้ว่าจะมีเส้นสายคอนเนคชั่นจนถึงกับมีข่าวว่าอาจจะตั้งพรรคการเมืองเอง
หุหุ...แต่ผมฟันธงว่าคุณวิชัย
คงไม่นำอนาคตมาทิ้งในบั้นปลายสู้เป็นเจ้าของแชมป์พรีเมียลีค เจ้าของไทยแอร์เอเชีย เจ้าของคิงพาวเวอร์ เจ้าของทีมโปโล
มีความสุขจังตังอยู่เกือบครบดีกว่าครับ
สู้อยู่เบื้องหลังดีกว่าไม่เจ็บตัวชิมะ....... ทีแรกก็สงสัยว่าทำไมคุณวิชัยถึงซื้อไทยแอร์เอเชีย ลำพังคำตอบตอนแถลงข่าวว่าเพราะเพื่อขยายตลาดการขายสินค้าปลอดภาษีนั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่ง
แต่ผมคิดว่าคงเป็นเพราะธุรกิจการบินกำลังเติบโตอย่างที่ใครๆก็เห็นกันอยู่
จะเห็นได้จากผลประกอบการของไทยแอร์เอเชีย
ตั้งเป้าหมายว่าจะมีผู้โดยสารถึง
17 ล้านคน อุ๊ตะ.... แค่ไตรมาสแรกของปี 2559 มีผู้โดยสารถึง 4.37 ล้านคน เทียบกับการบินไทยที่มีผู้โดยสาร 5.92 ล้านคน อีก3-5 ปี
มากกว่าการบินไทยแน่นอน
อัตราการโหลดแฟคเตอร์สูงถึง 88% (
คืออัตราบรรทุกผู้โดยสารเฉลี่ยต่อเที่ยว) ในขณะที่การบินไทยในปี
2558 อัตราโหลดแฟคเตอร์อยู่ที่ 73% แม้จะมียอดขายในไตรมาสแรก 50,315 ล้านบาท กำไรถึง 5,999 ล้านบาท
แต่ก็คงต้องลงไปดูในรายละเอียดว่ากำไรมาจากที่ใด เพราะว่าผลประกอบการสามปีย้อนหลัง
ขาดทุนปีละ 12,000-15,000 ล้านบาทรวมสามปี 2556-2558 ขาดทุนไป
ประมาณ 40,000 ล้านบาท
สุดท้ายเลยเมื่อคุณวิชัยซึ่งเป็นเจ้าของคิงพาวเวอร์และเลสเตอร์ซิตี้แชมป์พรีเมียลีกแล้ว ถ้าคำนึงถึงความคุ้มค่าทางการตลาดแล้วละก็เชื่อได้ว่าเมื่อหมดสัญญากับทางคิงพาวเวอร์ หน้าอกเสื้อของ่จิ้งจอกสยามคงเปลี่ยนเป็นไทยแอร์เอเชียเป็นแน่
ทั้งนี้เพราะการโฆษณาคิงพาวเวอร์ที่อกเสื้อเลสเตอร์ไม่คุ้มค่าทางการลงทุนแน่นอน
เพราะธุรกิจมีแต่ร้านดิวตี้ฟรีในประเทศไทยเท่านั้นซึ่งลูกค้าคือนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเมืองไทย แม้จะนิยมในตราสินค้าก็มิอาจมาเป็นลูกค้าผิดกับไทยแอร์เอเชีย หรือ
แอร์เอเชียซึ่งลูกค้ามีจำนวนมากกว่าก็จะสามารถสร้างความคุ้มค่ทางการตลาดได้มากกว่า
แต่................ทั้งนี้ยกเว้นว่ามีเหตุผลอื่นๆก็มิอาจคาดเดาได้ว่าโฆษณาบนหน้าอกเสื้อจิ้งจอกสยามอาจไม่เปลี่ยนก็ได้ WAIT AND SEE
~~~~~~~~~
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น