“อินเดีย”
ชื่อนี่คงเป็นชื่อท้ายๆที่นักท่องเที่ยวจะคิดถึงและอยากเดินทางไปเพื่อท่องเที่ยว ยกเว้นคนที่อยากจะไปปฏิบัติธรรม หรือไปบวช หรือไปสังเวชนียสถาน เพราะเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อว่าแออัด สกปรก
น่ากลัว
ไม่มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ
แต่ผมจำเป็นต้องเดินทางไป”อินเดีย”
เนื่องด้วยมีธุรกิจกค้าขายกับชาวอินเดียอยู่นับแต่ปี 2000 แผนกที่ผมดูแลต้องซื้อวัตถุดิบจากอินเดีย จึงทำให้มีโอกาสเดินทางไปอินเดียเพื่อติดต่อธุรกิจ ก็ทำให้ได้เห็นอะไรหลายอย่างซี่งทุกอย่างก็เป็นเรื่องจริงที่เล่าขานกันมา ไม่ว่าจะความหนาแน่นของประชากร
ความยากจนขนาดที่เรียกว่ามีสลัมอยู่ติดกับโรงแรมชั้น 1 ระดับ 5 ดาว เช่น
อินเตอร์คอนติเนลตัล แต่ในเวลาเดียวกันอินเดียก็มีมุมมองที่อยากจะมองอีกมุมเพื่อให้ท่านได้เห็นว่าจริงๆแล้วอินเดียเป็นประเทศที่น่าสนใจ อันเนื่องจากจำนวนประชากรที่มีมากถึง 1,260
ล้านคน และมีขนาดเศรษฐกิจเป็นลำดับที่ 7
ในโลก ขอย้ำในโลก 2.25
ล้านล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา
ในขณะที่ประเทศไทยเราเพียง 4
แสนล้านเหรียญสหรัฐอเมริกาเท่านั้น
แน่นอนว่าอัตราการเกิด
และการคุมกำเนินของอินเดียนั้นเป็นอะไรที่คุมไม่ได้ เพราะว่าความเชื่อทางศาสนา
และอีกทั้งการศึกษาของประชากรส่วนใหญ่ของอินเดียมีการศึกษาน้อย จึงทำให้เชื่อได้ว่าในอีก ไม่เกิน 20-30 ปี
ประชากรจะมากที่สุดในโลก น่าจะถึง 1,600-1,700
ล้านคน ในขณะที่จีนจะตกลงมาเป็นลำดับที่สองเนื่องจากนโยบายลูกคนเดียว แต่บัดนี้จีนเองก็มีนโยบายลูกสองคนแล้ว
เพราะคนวัยทำงานมีสัดส่วนที่น้อยลงเป็นลำดับในขณะที่สัดส่วนคนสูงวัยเพิ่มขึ้นเป็นลำดับเช่นกัน
อันเป็นแนวทางเดียวกันในประเทศที่พัฒนาแล้วนั่นเอง (ยกเว้นในอัฟริการ ที่อัตราการเกิดยังสูงอยู่)
พูดถึงเรื่องท่องเที่ยวอินเดียมีสถานที่น่าท่องเที่ยวอยู่มากมายที่ยังไม่ได้พัฒนา โดยฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของอินเดียจะสามารถพัฒนาได้อีกมาก เพราะมีวัฒนธรรม ความเชื่อ
และความหลากลายทางภูมิศาสตร์ ใครๆก็คิดว่าอินเดียร้อน ร้อน ร้อน อินเดียมีหิมะครับพี่น้องทางภาคเหนือของอินเดีย
นอกจากนี้แล้วยังมีกลุ่มที่แตกต่างกันทั้งทาง ศาสนา ภาษา
โดยแบ่งการปกครองออกเป็นถึง 29 รัฐ และอีก 7 การปกครองพิเศษ (คงคล้ายกับ
ฮ่องกง มาเก๊า) มีภาษาพูดมากถึง 100
กว่าภาษา
แต่ว่าอินเดียคงต้องพัฒนาระบบการจัดการอุตสาหกรรมท่องเที่ยวให้ดีกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน พูดได้ง่ายๆว่ายังมีโอกาสในการพัฒนาอีกมากมากย
สิ่งหนึ่งที่อินเดียพัฒนาไปมากคือเรื่องการบินในประเทศอุตสาหกรรมการบินเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว
ถึงแม้อินเดียจะมีประชากรที่ยากจนอยู่เป็นจำนวนมาก
แต่คนรวยหรือคนชั้นกลางแม้จะเป็นสัดส่วนที่น้อยนิดแต่เมื่อเทียบกับจำนวนประชากรทั้งหมด
1,260 ล้านคนแล้ว
ก็มีจำนวนมากมายมหาศาลที่ภาษาทางการตลาดเรียกว่า “ชนาดของตลาด” นั่นเอง ผมเองได้มีโอกาสขึ้นเครื่องบินสายการบินภายในประเทส
“JET AIRWAYS “ ซึ่งก๊มีเส้นทางบินมากรุงเทพด้วย
คือมีทั้งบินในประเทศและต่างประเทศ
ที่น่าจนใจคือวิธีคิดของผู้บริหารสายการบินนี้เพราะเป็นสายในประเทศเครื่องก็ประมาณว่าโลว์คอสต์แอร์ไลน์นั่นแหละแต่เขาก็ไม่ละเลยการเอ็นเตอร์เทนลูกค้า เดี๋ยวนี้ลูกค้าทุกคนมีสมาร์ทโฟนกันหมดแล้วก็โหลดซิครับแอปปลิเคชั่น
ก็สามารถมีสิ่งบันเทิงระหว่างไฟลท์ได้เช่นกันน้องๆจอสกรีนแบบเครื่องบินทั่วไปนั่นแหละครับ แถมมีโฆษณาแฝงอยู่ในแอปอีกต่างหาก
คล้ายๆกับเมื่อสองสามปีก่อนผมเคยเขียนแล้วในสายการบินจีนในประเทสโลว์คอสต์เขาแจกแท้ปเล็ตให้ลูกค้าดูหนังฟังเพลงระหว่างเที่ยวบิน
แต่นี่ต้องมีต้นทุนฮาร์ดแวร์คือตัวแทปเล็ตแม้ไม่แพงในปัจจุบันแต่ว่าก็ต้องลทุนสูงเพราะเครื่องบินลำหนึ่งๆ
200 คนขึ้นไปแถมยังต้องมาดูแลเรื่องชาร์จถ่านและคงมีหายบ้างอย่างแน่อน ชิมะ ชิมะ
สุดท้ายเป็นเรื่องอูเบอร์ในอินเดีย
เค้ามีวิสัยทัศน์อันนี้แค่ในมุมใบเค้าก็จับมาทำให้ถูกต้องจนเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีคนใจแท้กซี่เท่าใด
เพราะอูเบอร์นั้นจดทะเบียนเรียบร้อยราคายุติธรรม มีแอร์ด้วย ( แทกซี่ในมุมใบ ส่วนใหญ่ไม่มีแอร์ และ พฤติกรรมคล้ายๆบ้านเรา
)
เค้าคงเห็นว่าอะไรดีต่อผู้บริโภค
ต่อประชาชน
ที่ผิดกฎหมายก็ทำเสียให้ถูก
เรียบร้อยโรงเรียนอินตรเดียซินาย
ไม่ต้องรอลุงตู่ใช้ ม.44 จัดการ ซึ่งจริงๆแล้วก็น่าใช้ ม.44 ออกกฏให้อูเบอร์ถูกกฎหมายไปเรยเพื่อให้ ประชาชนไทยมีทางเลือกที่ดีขึ้น รับรองได้คะแนนจากชาวบ้านตรึม จริงๆ........................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น