วันอังคารที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2560

จาก.........“จิตอาสา...สู่............จิตสำนึก”


                        ช่วงงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช  เราะจะเห็นได้ว่ามีจิตอาสามากมายที่อุทิศตนเพื่อมาช่วยงานส่วนรวมเป็นจำนวนมาก   โครงการจิตอาสาครั้งนี้น่าจะเป็นการรวมตัวของผู้มีจิตอาสาที่มีจำนวนมากที่สุดอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน เพราะหน่วยงานภาครัฐได้มีการสรุปตัวเลขออกมาแล้วว่า ยอดรวมผู้สมัครจิตอาสาเฉพาะกิจฯ ทุกประเภท  มีจำนวนทั้งสิ้น 4,006,825 คน (CR :: https://www.posttoday.com/analysis/report/521825 )   ตีตัวเลขกลมก็คือ 4 ล้านคนที่ได้ลงทะเบียนเพื่อมาช่วยเหรืองานพระราชพิธีดังกล่าว   อันนี้ไม่รวมถึงจิตอาสาอีกจำนวนมากที่ไม่ได้ลงทะเบียน  ไม่ว่าจะเป็นพ่อครัวแม่ครัว  มอเตอร์ไซค์รับจ้าง  ฯลฯ    รวมแล้วน่าจะถึง 10 ล้านคน..............
                นับว่าเป็นภาพที่งดงามในสังคมไทยอันยากที่จะหาได้ในสังคมอื่นๆ  ในการรวมตัวของประชากรเกือบสิบเปอร์เซนต์ของทั้งประเทศร่วมมาทำงานเพื่อสาธารณะ  โดยมีจุดรวมใจของชาวไทยทั้งหลายคือ “พ่อหลวง”  ของพวกเรา  และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันพระราชพิธีดังกล่าว กระทรวงมหาดไทย ระบุ มีผู้ถวายดอกไม้จันทน์ใน 76 จังหวัด และ 802 อำเภอ รวม 16,188,175 คน ส่วนกรุงเทพมหานคร จำนวน 2,896,734 คน รวมมีผู้เข้าร่วมพิธี 19,084,909 คน  ( CR ::  http://www.bugaboo.tv/watch/347256  )    ส่วนใหญ่ใช้เวลาไม่น้อยกว่า 4-5 ชั่วโมงบางคนเป็น 10 ชั่วโมง  เพื่อขอให้มีเวลาแค่ 10 วินาที ในการถวายดอกไม้จันทน์แก่   “พ่อหลวง”  ของเราทั้งหลาย   ผมเองไม่เคยไปนั่ง  ยืน  รอ  อะไรนานๆมาก่อนแต่ครั้งนี้เพื่อ “พ่อหลวง”  เรายอมทำทุกอย่างเป็นครั้งสุดท้าย  โดยเข้าคิวรอตั้งแต่ 11.30  ได้ถวายเวลา 18.30 น.  7 ชั่วโมงเต็ม  ทั้งยืน  นั่งพื้น เพราะเมื่อยมากๆ  และนั่งเก้าอี้ซึ่งมีจำกัดเฉพาะแถวหน้าประมาณ 40 แถว  ตอนเลื่อนมาอยู่แถวหน้าบริเวณพิธี  ที่ศูนย์ราชการถนนแจ้งวัฒนะแต่ก็ยังนับว่าดีกว่าอีกหลายๆที่  เพราะว่าอยู่ในอาคารติดแอร์เพราะหากไม่แล้วตากแดด  หรือยืนต่อแถว 3-4 ชั่วโมงก็คงไม่ไหวแล้ว   ในงานนี้ได้พบจิตอาสามากมายคอยดูแล  ช่วยเหลือ ไม่ว่าจะจัดแถว  แจกอาหารเครื่องดื่ม  เก็บขยะ  ฯลฯ 
                “จิตอาสา”  ในครั้งนี้จะทรงพลังที่ยิ่งใหญ่ต่อไปในอนาคต  หากได้มีการแปรเปลี่ยนเป็น  “จิตสำนึก”  ซึ่งในความหมาย ความหมายจาก พจนานุกรมแปล ไทย-ไทย ราชบัณฑิตยสถาน  คือ  ภาวะที่จิตตื่นและรู้ตัวสามารถตอบสนองต่อสิ่งเร้าจากประสาทสัมผัสทั้ง ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส และสิ่งที่สัมผัสได้ด้วยกาย.  นั่นป็นการแปลตามตัวอักษรจากราชบัณฑิตยสถาน  แต่หากถามชาวบ้าน ร้านตลาด คนเดินถนน  คนสามัญ  ก็คงได้ความาหมายที่แตกต่างกันออกไป    แต่ถ้าถามผมน่าจะหมายถึง “การประพฤติตามกรอบแห่งความเหมาะสม  และ  ดีงาม  โดยปราศจากข้อบังคับใด อย่างไม่ลังเลและชักช้า    ก็เลยฝันและฝากต่อไปด้วยว่าจากนี้ไป    เราจะทำตามคำพ่อสอน”  อย่างจริงๆกันเสียทีหนึ่ง
                อ้าว..............ก่อนจบ  มีดราม่าเกิดขึ้นในสังคมไทย  มีนายแบบคนหนึ่งโพสภาพตนเองกับกิจกรรมที่ดูดีมีระดับ  พร้อมกับ “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ “   หรือ เรียกง่ายๆว่าบัตรคนจนนั่นเอง   เมื่อคืนวันที่ 30  ตุลาคม 2560  นายแบบคนดังกล่าวได้ไปออกรายการ “ทุบโต๊ะข่าว”  ทางช่องทีวีอัมรินทร์   ตอบคำถามพิธีกรว่า   ภาพต่างๆที่เห็นในเฟสบุ้คของตนเองว่า  กาแฟ  อาหาร  นาฬกา  รถยนต์  เสื้อผ้าหน้าผม  และการเดินทางไปต่างประเทศนั้น   เพื่อน....................ออกตังให้ทั้งสิ้น  ตนเองมีรายได้สอง  สาม  สี่  พันบาทต่อเดือน................... จากการประกอบอาชีพ “รับรีวิว” สินค้า  ..............อะไรชีวิตจะดี๊ดีอย่างนี้.........มีกัลยาณมิตรคอยหล่อเลี้ยงจุนเจือ.......  คำถามคือ “ มีไอโฟน  แม้เป็น ไอโฟน 6  แต่ตอนซื้อมันราคา 3 หมื่นกว่านะครับ “     สรุปว่า  มีจิตสำนึกหรือไม่  อายุ 29  หน้าตาดี มีระดับ เกาะกัลยาณมิตร   ................น้องจ๋า  มาทำงานบริษัทพี่มะ   เป็นแม่บ้านก็ได้  ให้  10,000 ต่อเดือน ..........ฮัลโหลๆ  ....สนใจหลังไมค์มาโลด...................

วันศุกร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2560

“ไปบอลติค แล้วปิ๊กบ้าน”



                 


                        พูดถึงประเทสในกลุ่มบอลติคแล้วหลายๆคนคงตั้งคำถามว่า  “มันอยู่ส่วนใดของโลกนี้”    พอดีได้มีโอกาสไปท่องเที่ยวในประเทศในกลุ่มบอลติค  ซึ่งประกอบไปต้วย  เอสโตเนีย  ลัธเวีย และ ลิธัวเนีย  ซึ่งทั้งสามประเทศนี้เป็นประเทศที่เคยอยู่ในปกคครองของรัสเซียมาก่อน  ตั้งอยู่ในคาบสมุดทรบอลติคถ้านึกไม่ออกก็ลองนึกถึงฟินแล้นด์   ทั้งสามประเทศนี้อยู่ทางทิศใต้ของฟินแล้นด์ครับผม     ประเทศเหล่านี้ได้รับเอกราชปกครองตนเองแบบสาธารณรัฐระหว่าง ค.ศ. 1918-1940 ต่อมารวมเข้าเป็น 3 ใน 15 สาธารณรัฐของสหภาพโซเวียต และเมื่อสหภาพโซเวียตมีอิทธิพลลดลงใน ค.ศ. 1991 ทั้งสามประเทศก็แยกออกไปปกครองตนเอง    นั่นหมายความว่าทั้งสามประเทศนี้เพิ่งเป็นเอกราชเมื่อ 26 ปีที่ผ่านมานี่เอง   มีประชากรรวมกันค่า 6.1 ล้านคนเท่านั้นเอง   แต่ว่าจีดีพีต่อหัวสูงถึง 17,000 USD  ( ไทยเราประมาณ 6,250 USD  ก็ประมาณว่ามีรายได้ต่อหัวสูงกว่าไทยเราประมาณ 3 เท่า    ทั้งสามประเทศนี้อยู่ในสหภาพยุโรปทำให้มีการใช้สกุลเงิน “อียู”  แถมยังอยู่ในกลุ่ม “ชังเก้นท์”  ซึ่งสามารถขอวีซ่าแล้วเดินทางท่อเงที่ยวได้ถึง 25 ประเทศในสหภาพยุโรป ( เฉพาะที่อยู่ในชังเกนท์ )  รวมทั้ง สวิสเซอร์แลนด์  นอร์เวย์ และ ไอซ์แลนด์ ซึ่งไม่ได้อยู่ในสหภาพยุโรป
                เที่ยวนี้ไปขอวีซ่าที่สถานฑูตเยรมัน   โชคดีที่ขอแบบเข้าออกได้หลายครั้งและทางเยรมันให้วีซ่าถึง 2 ปี  นั่นหมายถึงว่าภายในสองปีนี้ผมเดินทางยังประเทศในกลุ่มชังเก้นท์ไม่ต้องทำวีซ่าใหม่แล้ว     ...............มันคือการเพิ่มโอกาสนในการเดินทางของผู้ที่ได้วีซ่า   เพราะผมเชื่อว่าเศรษฐกิจของยุโรปจะเติบโตได้ก็ต้องมีธุรกิจท่องเที่ยวเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญ    เพราะจากเดิมขอวีซ่าเข้าออกแบบหลายครั้งมักจะไม่ค่อยได้  หรือได้ก็แค่ช่วงสามเดือน.............เหมือนกับที่ประเทศญี่ปุ่น  พองดเว้นวีซ่าให้  ไทย   มาเลเซีย และอีกหลายๆประเทศ  จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอีกสามสี่เท่าตัว  แถมยิ่งมีสายการบินต้นทุนต่ำบริการทำให้การเดินทางท่องเที่ยวไม่แพงเกินกว่าที่จะเอื้อมถึง....... ดังสโลแกนของแอร์เอเชียว่า  “ใครๆก็บินได้” 
                ไปเที่ยวนี้ใช้บริการของสายการบินฟินแอร์ของประเทศฟินแลนด์   เป็นเครื่องบินใหม่   โบอิ้ง 787 ดรีมไลน์เนอร์  เครื่องบินดังกล่าวเป็นเครื่องบินโดยสารที่ประหยัดเชื้อเพลิงที่สุด และเป็นเครื่องบินโดยสารสำคัญแบบแรกของโลกที่ใช้วัสดุผสมในการก่อสร้างเป็นส่วนใหญ่ บริโภคเชื้อเพลิงน้อยกว่าโบอิง 767 ที่มีขนาดเท่ากันถึง 20%  ซึ่งการบินไทยก็เพิ่งจะรับมอบลำล่าสุดไปเมื่อ  กันยายน 2560 ที่ผ่านมา................ความรู้สึกเมื่อเดินเข้าไปในเครื่องคือสบาย  เบาะกว้าง  ระยะระหว่างเบาะไม่แคบจนเกินไป    ที่นั่งแบบ 3-3-3  ทำให้สะดวกสบายมากๆ   ต้องรอดูว่าการบินไทย จัดที่นั่งอย่างไรรวมทั้งระยะและขนาดเบาะด้วย    ทางฟินแอร์จัดระบบบันเทิงบนเครื่องบินแบบจัดเต็มครับ  จอทีวีส่วนตัว  (ซึ่งเดี๋ยวนี้เป็นมาตราฐานของสายการบินทั่วไปแล้ว )   แต่ที่ต่างคือมีภาพยนต์หลายประเทศแถมภาพยนต์ฝรั่งมีเสียงภาษาไทยซะหลายเรื่อง  ทำให้ตลอดเวลา 9 ชม.กว่าๆ ไม่ต้องตะแคงหูฟังเสียงซาวน์แทรค  ที่น่าตื่นตาตื่นใจคือมีระบบกล้องที่ถ่ายภาพสดๆจากเครื่องบิน  โดยกล้องนี้ติดที่ด้านบนของหาง  ทำให้เห็นตัวเครื่องบินแบบเต็มลำสดๆตอนเครื่องร่อนลงด้วยนะเอ้อ......  ทำให้ได้บรรยากาศไปอีกแบบ.......
 แต่เมื่อมีข่าวว่าสิงค์โปรแอร์ไลน์เมื่อตอนที่ประธานาธิบดีสิงค์โปรไปเยือนสหรัฐอเมริกา ตอนกลางเดือนตุลาคม 2560    เอาออเดอร์ไปให้ประธานาธิบดีทรัมป์ 19 ลำ  อุแม่เจ้า........  ในขณะที่ไทยเราฝูงบินทั้งหมดของการบินไทยมีแค่   80 ลำ  เป็น 787 ดรีมไลน์เนอร์ แค่ 8  ลำ  .......เครื่องบินเก่าๆ ก็มีค่าใช้จ่ายสูง......ดังนั้นใครถือหุ้นการบินไทยอยู่คงรู้นะว่าจะทำอย่างไร  แถมสำนักข่าวฝรั่งแห่งหนึ่ง   (จำไม่ได้ว่าสำนักไหน)  รายงานข่าวว่า “หุ้นการบินไทยเป็นหุ้นขยะ”  คือไม่มีอนาคตนั่นเอง ดังนั้นใครจะถือ ใครจะทิ้ง ใครจะช้อนก็ตามแต่อัธยาศัยนะครับ 
                กลับมาคุยเรื่อง “บอลติค” ต่อ  ทั้งสามประเทศ    แม้ว่าจะอยู่ในคาบสมุทรเดียวกันมีพรมแตนต่อเนื่องกันแต่ว่า  “ภาษา”  กลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง  ผมลองสอบถามไกด์ทั้งสามาประเทศ  ในคำที่ต้องใช้บ่อยๆเช่น “สวัสดี   / ขอบคุณ”  ทั้งสามประเทศนั้น พูดแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงและสื่อสารกันได้เข้าใจประมาณ 5 เปอร์เซนต์เท่านั้นเอง  เพราะภาษาต่างกันอย่างสิ้นเชิงนั่นเอง    ซึ่งอันนี้ก็รวมถึงวัฒนธรรมและความเชื่อด้วย  แต่ก็มีคนรุ่นเก่าๆในสมัยที่ยังอยู่ในปกครองของรัสเซียจะสามารถพูดภาษารัสเซียได้  เพราะมีการเรียนการสอนภาษารัสเซียในโรงเรียน  แต่อีก 20-30   ปีก็คงหมดคนรุ่นนี้ไป    ปัจจุบันที่รายได้ต่อหัวของประชากรในสามประเทศนี้สูง  ก็เนื่องด้วยเศรษฐกิจเติบโตด้วยธุรกิจ ไอที   ซอฟแวร์    ซึ่งแทบไม่มีใครรู้ว่า  “สไกป์”  ก่อกำเนินในเอสโตเนีย  เพราะมีพื้นฐานทางเทคโนโลยี่ที่เรียนรู้มาในสมัยที่ยังอยู่ในปกครองของโซเวีย    ไม่ใช่ระบบการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค   ซึ่งก็เป็นไปในทิศทางเดียวกับที่ลุงตู่    อยากให้ไทยเป็น  “ไทยแลนด์ 4.0 นั่นเอง”  ........ แค่ฝันก็มีความสุขแล้วครับ ................ปิ๊กบ้านเด้อ....!!!!!!!!

ขายรัย...ทำไมเราอิน (มาก)

                                                   เครดิตภาพจาก "เฟสบุคไทรสุก"           สองอาทิตย์ก่อนไปเห็นน้องคนหนึ่งที่เป็...