วันอังคารที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

“ IDOL ….2… I DO….THEN…I DID “



                    


                 ชั่วโมงนี้ไม่มีกระแสใดแรกกว่า  “ก้าวคนละก้าว”  ของพี่ตูน  บอดี้สแลม   ถึงแม้กระแส คำพูดของท่านรองนายก และ รมต.กลาโหมที่ว่า  “ “ผมก็เคยถูกซ่อมจนสลบ  แต่...ผมไม่ตาย “  ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าจะออกมาจากปากของผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง  เข้าใจได้ว่าปากพาไป...จนปากพาจน...    แต่ด้วยประสบการณ์ของท่าน    ด้วยวุฒิภาวะของท่าน  คำพูดเหล่านี้ไม่น่าออกมาจากปากของท่านเรย  จร๊งๆๆ  ก็มิอาจกลบกระแส  “ ก้าวคนละก้าว”  ไปได้  
          “พี่ตูน”   เป็นตัวอย่างที่ดีในสังคมไทยเรา     ด้วยความเป็นซุปดาร์ของพี่เค้า 55 วัน นี่ถ้าทำงานแค่ 10 วัน  ผมว่าเค้าน่าจะมีรายได้ไม่น้อยกว่า 4-5 ล้านบาท    ยิ่งถ้าจัดคอนเสิร์ทแบบเต็มๆแล้วคงได้มากกว่า 10 ล้านบาท  ...กลับเสียสละรายได้  เวลา  กำลังกาย  ที่สำคัญกำลังใจ(คนอะไรวิ่งได้อึดขนาดนั้น) 
          แต่ทำไมพี่ตูน         ต้องออกมาวิ่ง   วิ่ง  และวิ่ง  ......เพื่อหาเงินโดยมีเป้าหมาย 700 ล้านบาท  เพื่อโรงพยาบาลที่เป็นบริการขั้นพื้นฐานของรัฐที่ต้องจัดให้ประชาชนอยู่แล้ว   ในคุณภาพที่ดีในระดับหนึ่ง....ทำไม่งบประมาณไม่เพียงพอที่จะจัดบริการขั้นพื้นฐานให้มีคุณภาพได้     เป็นคำถามที่น่าคิดเหมือนกันนะครับ    งบประมาณของรัฐปีหนึ่งๆไม่น้อยกว่า 2.8  เหรือ 3.0 ล้านล้านบาท    มันถูกนำไปใช้ในส่วนไหน  กระทรวง  กรม  กองไหน  กันบ้างคงต้องไปหารายละเอียดกันดูครับ
          แต่.............สี่งที่อยากนำเสนอคือ   ตอนนี้ตูนเป็น  IDOL  ของคนทั้งประเทศ   ไม่ว่าจะเป็นในแง่  ของคนดีที่เสียสละเพื่อสังคม    เป็นคนที่รักสุขภาพ     เป็นนักกีฬา(เทเบิลเทนิส) ที่มีฝีมือ   นักร้องที่มีอุปนิสัยใจคอที่น่ารัก  ไม่ติดยาเสพติด (เหมือนร้อกเกอร์บางคน)   มีครอบครัวที่อบอุ่น   กตัญญูกตเวทีต่อบุพการี     จบการศึกษาระดับเกียรตินิยมจากจุฬาฯ   เคยเป็นพนักงานต้อนรับสายการบินกัมพูชา .............  โอ้ย...อะไรจะเป็นคนดีปานนั้น     น่าจะขอมาเป็นลูกเขยซะเลย...หุหุ
          มีความจริงเรื่องหนึ่งที่หลายคนอาจจะไม่ได้สังเกตุ  หรือไม่ทราบว่า     ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งหากมีกระแสในสังคมเกิดขึ้นแล้ว  มันมีผลกระทบตามมาแบบที่ฝรั่งเค้าเรียกว่า CONSEQUENCE    ช่วงภารดร  ศรีชาพันธ์  ได้อันดับเก้าของโลกในกีฬาเทนนิส    ขอบอกว่าไม้เทนนิสขายดีมาก       รัชนก   อินทนนท์ ได้แชมป์แบดมินตันโลก  ไม้แบดมินตันขายดีมากๆๆๆ  และกีฬาทั้งสองชนิดก็กลายเป็นกีฬาที่เยาวชน  และ ประชาชนคนไทยให้ความสนใจ  และ เริ่มเล่นกีฬาชนิดนั้นๆขึ้นมาโดยฉับพลัน    และตอนนี้รองเท้าวิ่งขายดีมาก โดยเฉพาะยี่ห้อไนกี้ ที่ตูนสวมใส่ตลอดโครงการนี้
          แน่นอน    “ ก้าวคนละก้าว”  และ พี่ตูน  ทำให้กระแสการรักสุขภาพ และ การวิ่ง  เป็นกรากฎการ์ณของสังคมไทย  แม้ในทุกวันนี้จะมีการแข่งขันวิ่งการกุศลอยู่ปีหนึ่งไม่น้อยกว่า  2,000  อีเวนต์  แต่ละอีเวนต์จะมีคนเข้าร่วมตั้งแต่  2-5  พันคน   ด้วยกระแสรักสุขภาพอยู่แล้ว     แต่................พี่ตูน  คงเป็นแรงบันดาลใจให้หลายๆคน  โดยเฉพาะเยาวชนให้เริ่มต้นวิ่ง   หรือเริ่มเล่นกีฬาได้.................มันทำให้  IDOL  คนนี้  ทำให้เกิด  I  DO   และหลังจากที่ได้เริ่มลงมือออกวิ่ง  ออกกำลังกายแล้ว เท่ากับว่า  เราทำได้ และ ได้ทำแล้วนั่นเอง....  I DID IT  !!!!    แหมผมวิ่งมา สองปีแล้วม่ายเห็นมีใครวิ่งตามผมแรย   5555 พอพี่ตูนวิ่งคนก็วิ่งตามทั้งเมือง    นี่ถ้า น้องเมริญา ที่ไปประกวดมีสยูนิเวิส  เอาเรื่องนี้ไปตอบ ในเรื่อง  SOCIAL MOVE  ละก็อาจมีเฮ   มีนางงามจักรวาลคนที่ 3 ของประเทศไปแล้วก็ได้    ไม่เชื่อ.....อย่าลบหลู่.....หุหุ

วันจันทร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

“ปัจจัยเดียว.....จะเลี้ยวมาลงทุนมั๊ย”






                  ข่าวคราวว่าประเทศไทยอันดับเลื่อนขึ้นแบบก้าวกระโดด  จากการที่ธนาคารโลก หรือ World Bank เปิดเผยผลสำรวจการจัดอันดับความยากง่ายในการประกอบธุรกิจ หรือ Doing Business 2018   ซึ่งประเทศไทยดีขึ้น20 อันดับ โดยเลื่อนขึ้นจากอันดับ 46 ในปีที่แล้วมาเป็นอันดับ 26 ในปีนี้  โดยได้คะแนน 77.44    ก็เป็นปลื้มกันไปทั้งบาง......การจัดอันดับหลายๆครั้งก็เป็นการสำรวจความคิดเห็น   แต่ในครั้งนี้เป็นการมาตรวจสอบในหลายๆมิติ  ของการประกอบธุรกิจในประเทศไทย  ซึ่งองค์ประกอบในการตรวจสอบก็มีถึง  10  ตัวชี้วัด  ผมคงไม่ลงในรายละเอียดว่าแต่ละตัวชี้วัดมีอะไรบ้าง     ซึ่งหลายตัวชี้วัดเราดีขึ้นอย่างก้าวกระโดด  บางตัวก็แย่ลงก็มี  แต่เมื่อรวมคะแนนทั้ง 10 ตัวชี้วัดเราดีขึ้น  ถึง 20  ลำดับ..................ก็เป็นที่น่ายินดี...แต่.....แต่......
            แต่................ในการจะตัดสินใจเพื่อประกอบธุรกิจ  หรือ ลงทุนแล้วนั้น  ความยากง่ายหรือความสะดวกในการประกอบธุรกิจ  คงไม่ใช่ปัจจัยหลักที่จะทำให้ตัดสินใจมาลงทุน  ....เป็นแน่...เพราะว่า  ลองมาดูอันดับประเทศต่างๆ   เอาที่ใกล้ตัวเรา   เวียดนาม อันดับ 68 / คะแนน 67.93   อินโดนีเซีย  อันดับ 72 / คะแนน 66.47  ที่สำคัญ  จีน  78 / คะแนน 65.29  
            แล้ว...............ทำไม  คนไปลงทุนเวียดนามมากกว่า  โดยใน  Q 1 ปี 2517  ที่ผ่านมา มีเงินลงทุน FDI คือต่างชาติไปลงทุนโดยตรง  2,890 พันล้านเหรียญ ในขณะที่ประเทศไทย  2,537 พันล้านเหรียญ  (ที่มา: https://www.ceicdata.com/en/blog/asean-foreign-investment )  ทั้งๆที่อันดับของประเทศไทย  ดีกว่าเวียดนามถึง  42 อันดับ  หรืออินโดนีเซียก็มีการลงทุนโดยตรง ถึง  2,586 พันล้านเหรียญ  มากกว่าไทยอีกเช่นเดียวกัน
            ดังนั้นการตัดสินใจลงทุนดำเนินธุรกิจ  ต้องมีปัจจัยอื่นๆเป็นองค์ประกอบอยู่อีกหลายประการ  ดังต่อไปนี้
      1.ความยากง่ายในการประกอบธุรกิจ  คงเป็นปัจจัยเล็กๆ  ปัจจัยหนึ่ง  เพราะว่าหากมีปัจจัยอื่นๆ  สนับสนุนให้ลงทุนความยากขนาดไหนก็คงวิ่งไปลงทุนเหมือนกัน
2.ความเสี่ยง + ความมั่นคง    ทางการเมือง /  ค่าเงิน  /  ทางการทหาร /  ภัยธรรมชาติ / อัตราดอกเบี้ย   เช่นประเทศในอัฟริกาคงไม่ค่อยมีใครอยากไปลงทุนเสียเท่าใด   ทั้งๆที่มีทรัพยากร  มีแรงงานราคาถูก  ฯลฯ
3.ความต้องการของตลาด  ขนาด  การเข้าถึง  ช่องทางการจัดจำหน่าย   เช่นในประเทศจีนมีขนาดตลาดที่ใหญ่มากๆ  ก็ย่อมเป็นที่หมายปองของผู้ประกอบการไปลงทุน  แม้ว่าจะมีความยุ่งยาก  และมีความเสี่ยงอยู่สูงก็ตาม
4.สิทธิพิเศษต่างๆ   ในประเทศ  /  สิทธิจากการส่งออก    การสนับสนุนเงินทุน  + อัตราภาษี    การเข้าถึงแหล่งเงินลงทุน
5.สาธารณูปโภค  ปัจจัยสนับสนุน   น้ำไฟ ถนน การขนส่ง  สนามบิน ท่าเรือ ฯลฯ บางคนว่าเมียนมาร์จะเป็นคู่แข่งที่สำคัญของไทย  แต่ความคิดเห็นผมว่าอีกนานมากๆๆๆๆ   เพราะเขาไม่ได้พัฒนามา 30-40 ปี  ถนนหนทาง สาธารณูปโภค  การคมนาคม  กฎระเบียบต่างๆ  ไม่เป็นสากล  คงต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 20 ปีในการพัฒนา  แต่ที่น่ากลัวคือ  เวียดนาม กับ อินโดนีเซีย   ครับพี่น้อง..
6. ต้นทุน  แรงงาน  ปัจจัยการผลิต  แหล่งวัตถุดิบ  อัตราภาษี  (รวมถึง ภาษี  ส่วนบุคคล)  เช่นในสิงค์โปร์ เอาภาษีมาเป็นตัวจูงใจให้ไปลงทุนเป็นต้น    ไทยเราแรงงานขาดแคลนแถมไม่ถูกด้วย  ก็ทำให้ความสามารถในการแข่งขันลดลงไปพอสมควร
6.อื่นๆ  เช่น    สายสัมพันธ์   การมีคู่ค่า  ผู้ร่วมลงทุน  ก็จะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะมีส่วนการตัดสินใจเป็นอย่างยิ่ง..................
 คงต้องประมวลปัจจัยทั้ง 6 มาแล้วตัดสินใจไปหรือไม่ไป.............แล้วไปไหนดี.....
เหมือนกับพอเวลาเห็นสาว  ....ถ้าเธอสวยเราจะเหลียวมอง....แต่พอคุยด้วย....ปากเห็น ฝุดๆ.....ก็บ๊ายบายตัวใครตัวมันเลือกกันเอาเองนะครับ  พี่น้อง.....................

ขายรัย...ทำไมเราอิน (มาก)

                                                   เครดิตภาพจาก "เฟสบุคไทรสุก"           สองอาทิตย์ก่อนไปเห็นน้องคนหนึ่งที่เป็...