เครดิตภาพ : https://www.sanook.com/women/50017/
ปล่าว......ผมไม่ได้ตั้งใจจะเขียนเรื่อง ตลาดรถยนต์ ซี่งคนส่วนใหญ่คงนึกว่าผมคงจะเขียนถึงเรื่องตลาดรถยนต์นำเข้าอิสระซึ่งไม่ได้เป็นผู้แทนจำหน่ายจากผู้ผลิต แต่สิ่งที่ผมจะเขียนถึงในวันนี้ก็คือ
เกรย์มาร์เก็ต ที่หมายถึงตลาดของผมสีขาว
หรือสีดอกเลา แปลได้ว่า.....ตลาดผู้สูงวัย นั่นเอง !!!!
ในที่นี้จะขอกำหนดให้ตั้งแต่เกษียณเป็นต้นไปคือ 60 + เป็น สว. กลุ่มที่จะกล่าวถึง
จาก http://www.ipsr.mahidol.ac.th/ipsrbeta/th/Gazette.aspx
สถาบันวิจัยประชากรและสังคมของมหาวิทยาลัยมหิดล ได้คาดการณ์ประชากรไทย ณ. มิถุนายน 2561 ว่ามจะมีจำนวนประชากรทั้งสิ้น 66.23 ล้านคน มีอัตราเพิ่มไม่มากนักแค่
0.2
ซึ่งนับได้ว่าการคุมกำเหนิดของประเทศไทยประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง จะมีประชากรในวัยแรงงาน คืออายุ 15-59 ปี 43.038 ล้านคน (ลดลงจาก 10 ปีที่แล้ว
และสัดส่วนจะลดลงเป็นลำดับ) แต่ตัวเลขที่น่าสนใจคือจะมีคน สูงวัยที่อายุ
60 ปีขึ้นไป 11.770 คิดเป็น 17.77 % ทีเดียว และในจำนวน นี้เป็นผู้สูงวัยที่อายุ 65 ปีขึ้นไปถึง 7.919 ล้านคน
ซึ่งจะเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างสมบูรณ์ (Aged Society) คือมีสัดส่วน
20 % ในปี 2564 (อีกแค่3 ปี
) และคาดกันว่าในปี 2570 (อีกแค่ 9 ปี )
จำนวนผู้สูงวัยจะมากขึ้นเป็นลำดับจนจะสังคมผู้สูงวัยระดับสุดยอด (
Super Aged Society)
ผู้สูงวัยในยุค
2560-2570 นี้ แตกต่างจากยุคก่อนมากๆ เพราะมีปัจจัย
และ พฤติกรรมที่แตกต่างจากคนสูงวัยรุ่นก่อนๆ ซึ่งแน่นอนมันเป็นพลวัตรของโลก ของสังคม
สำหรับในประเทศไทยนั้นผมขอแสดงความคิดเห็นไว้ดังนี้
1.ผู้สูงวัยยุคนี้
จะมีสุขภาพที่แข็งแรงขึ้น
แม้ว่าจะมีโรคแปลกประหลาดๆต่างๆเกิดขึ้นมา
แต่ด้วยวิทยาการทางการแพทย์และสาธารณสุข
ทำให้สุขภาพของผู้สูงวัยมีคุณภาพชีวิตทางด้านร่างกายที่ดีกว่ายุคก่อนๆ
2.มีสตางค์มากขึ้น ทั้งนี้เกิดจากระบบประกันต่างๆที่เมื่อ
ยี่สิบสามสิบปีก่อน ได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องทั้งประกันชีวิต ประกันสุขภาพ
ประกันสังคม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
กองทุนเพื่อการเกษียณ ฯลฯ
รวมทั้งมีระบบการออมเงินที่หลาหลายทำให้ผู้สูงวัยเหล่านี้ มีสตางค์ในประเป๋ามากขึ้น
3.ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ผู้สูงวัยมีเงินจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นก็จะมาจากลูกหลาน
ที่คอยช่วยเหลือในยามชราซึ่งแตกต่างจากสังคมตะวันตก ที่พออายุ 18 ปีขึ้นไปก็ต้องช่วยตัวเองและสุดท้ายก็นั่งหงอยเป็นแมวเหงาอยู่ในสวนสาธารณะในยามชรานั่นเอง
4.คนในวัยนี้หนี้สินไม่มีแล้ว หรือ
มีก็น้อยมาก(เฉพาะคนที่บริหารจัดการไม่เป็น)
ทำให้หมดภาระในการต้องผ่อนชำระ
หมดภาระในการส่งเสียบุตรหลาน ฯลฯ
ทำให้เงินที่มีอยู่สามารถนำมาจับจ่ายใช้สอยได้อย่างไม่ต้องพะวงมากนัก ยกเว้นคงพะวงในเรื่องการดูและรักษาสุขภาพ
ในยามเจ็บป่วยเป็นสำคัญ
เอ.....แต่บางคนยังยืมนาฬิกาเพื่อนอยู่เรย
อ้าว..อ้าว....อ้าว.....
ไหงมาลงตรงนี้ได้ คริๆ
5.มีเวลาเพราะไม่ต้องไปทำงาน
ทำให้มีเวลาว่างมากสามารถทำกิจกรรมใดตามที่ใจปรารถนา จนมีผู้สูงวัยบางคนออกเดินทางท่อเงที่ยว ไปในที่ฝันอย่าจะไปจำได้ว่ามีคุณป้าคนหนึ่งชื่อป้าแต๋ว อายุ65 แต่แบกเป้เที่ยวรอบโลกเพราะมีทั้งเวลา
ทั้งเงิน และสุขภาพที่แข็งแรง
6.มีการศึกษาเฉลี่ยสูงกว่าผู้สูงวัยยุคก่อนๆ
ทำให้สามารถศึกษาหาความรู้จากแหล่งต่างๆได้อย่างสะดวก เช่น ทางอินเตอร์เน็ต และ สื่อสังคมออนไลน์
7.พฤติกรรมกล้าใช้เงิน ต่างจากคนยุคก่อนที่ต้องเก็บไว้ให้ลูกหลาน
(ถลุงเล่น ??) ทำให้มีสินค้าต่างๆที่มาตอบสนองความต้องการของผู้สูงอายุเหล่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจบริการ ไม่ว่าจะ ท่องเที่ยว สปา
ความงาม ฟื้นฟูส่วนที่ศึกหรอ การแพทย์และอุปกรณ์ อุปกรณ์อิเลคโทรนิคที่ตอบสนองความสูงวัยต่างๆ
ฯลฯ
เมื่อปลายปี 2560
ผมได้ไปทัศนศึกษาที่คาบสมุทรบอลติค คือ ประเทศลัทเวีย ลิโธเนีย แอสโตรเนีย ได้พบกับกลุ่มครูกลุ่มหนึ่ง ซึ่งกลุ่มพี่กลุ่มนี้เกษียณมา
สามสี่ปีแล้วเดินทางท่องเที่ยวตลอดเพราะเหตุผล 5 ข้อข้างต้น คือ สุขภาพดี
มีสตังค์ กล้าใข้จ่าย ไม่มีหนี้ และมีเวลาแยะ อ้อ...ท่านโสดเป็นส่วนใหญ่
ไม่ต้องห่วงลูกหลานไม่มีจะกิน ลองดูปัจจัยเหล่านี้ดูแล้วพิจารณาเลือกกิจกรรมให้เหมาะกับท่านดูนะครับ
ตอนเด็กๆ มีแรง
มีเวลา ไม่มีตัง
ตอนทำงาน มีแรง ไม่มีเวลา
มีตัง(น้อย)
ตอนกลางคน มีแรง ไม่มีเวลา
มีตัง(เริ่มมากขึ้น)
ตอนเริ่สูงวัย มีแรง มีเวลา มีตัง (น่าจะมากพอ)
ตอนสูงวัยจริงๆ ไม่มีแรง มีเวลา มีตัง (มากแน่ๆ ? )
ก็เลือกเอาเองนะครับ
ผู้สูงวัยทั้งหลายว่าจะเดินทางท่องเที่ยว
หรือ ทำกิจกรรมใดๆที่ท่านฝัน
ปรารถนา
ควรจะกระทำในช่วงอายุขัยใด
ส่วนผมอีก ปี เศษ ก็ไปอยู่ร่วมสังคมกับท่านแล้วครับ พี่น้อง............แล้วเจอกันที่
...ปลายฟ้า 555