ชื่อเรื่องนี้อาจจะคุ้นๆคนยุค
60 ที่มีภาพยนต์กำลังภายใน บู๊ ล้างผลาญ
และฟันดาบกันจนจอกระจุยไป ไม่ว่าจะ ฤทธิ์มีดสั้น
ชอลิ้วเฮียง มังกรหยก
อะไรประมาณนี้ แต่ในยุค 2518
นี้ฤทธิ์ตะกียบคู่ ดูจะทำให้แบรนด์ที่เป็นระดับโลกไปไม่เป็นเหมือนกันเมื่อ
สังคมชาวจีนโดยเฉพาะสังคมออนไลน์ออกมาต่อต้านคลิป / โฆษณา ของ Dolce & Gabbana (D & G ) สัญชาติอิตาลี จากจุดเล็กๆที่ไม่น่าเป็นประเด็นโดยมีนางแบบสาวใช้ตะเกียบคีบพิซซ่า(อิตาลี)
ซึ่งเป็นโฆษณาทั่วไปแต่ที่เสียหายและพลาดอย่างไม่น่ าจะเป็นไปได้คือ การที่Stefano Gabbana ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งกล่าวตอบโต้
ในอินสตาแกรมว่า “เราจะบอกคนทั้งโลกว่าประเทศจีนมันแย่
และขอให้รู้ไว้เลยว่าเราอยู่ได้โดยที่ไม่มีพวกคุณ” จะพูด เพื่อ ....................................
งานเข้าโดยมิต้องนัดหมายเพราะชาวจีนถือมากในเรื่องวัฒนธรรม
การที่นักธุรกิจระดับโลกพลาดในเรื่องนี้ถือว่าเป็นบทเรียนชิ้นโต ที่แบรนด์ที่สะสมความดีงามมาตลอดกว่า 30 ปี
จะถูกทำลายด้วยคำพูดเพียงแค่ สามสี่ประโยค
หรือ สูญเสียความรักและศรัทธาเพียงชั่วข้ามคือน อย่าลืมว่าโดยภาพรวมแล้วสินค้าแบรนด์เนมเหล่านี้
ตลาดใหญ่ที่สุดอยู่ในประเทศจีนจนมีการกล่าวอ้างว่ายอดขายสินค้าฟุ่มเฟือยเหล่านี้ยอดขายอยู่ในประเทศจีน
หรือ ถูกซื้อโดยคนจีนถึง 30% ยอดขาย
D&G ประมาณปีละ 36,000 ล้านบาท
ถ้าคิดสามสิบเปอร์เซนต์ ก็ประมาณ 10,800 ล้านบาท
นี่กระแสถึงกับมีการเอาสินค้าออกมาเผาประท้วง การไปเขียนข้อความประท้วงที่ร้าน ฯลฯ
และดูจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
และคงจะหยุดยาก
แม้มีการออกมาขอโทษจากซีอีโอก็ตาม
เพราะมีการทำคลิปวิธีชีวิตและความภาคภูมิใจของ “ตะเกียบ” ประมาณว่า เป็นจิตวิญญาณ ของชาวจีน ซึ่งจริงๆแล้วมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่คลิปนี้ออกมาเพื่อเป็นการตอกย้ำและประท้วง D&G
การที่คนจีนรักและซื้ออะไรนั้นพวกเขาก็จะแห่กันไปซื้อเรียกว่าจนหมดสต้อกทีเดีย ดูบ้านเราเป็นตัวอย่าง “นมเม็ดจิตรลดา” หาซื้อไม่ได้มาหลายปีแล้วเพราะนักท่องเทียวชาวจีนกวาดซื้อไปหมดเป็นต้น หรือ กระแสภาพยนต์เรื่อง
LOST IN THAILAND ซึ่งเป็นหนังบ้านๆไม่มีสาระเท่าใด แต่พอชาวจีนสนใจกระแสมาแรงทำให้ส่งผลถึงการท่องเที่ยวบ้านเราในบัดดล แต่เราจะเห็นได้ว่าปี 2561 นี้
มีกระแสในทางลบเกี่ยวกับนักท่องเที่ยวจีนอยู่หลายรายการ
โดยเฉพาะเรื่องเรือฟีนิกซ์ล่มทำให้นักท่องเที่ยวตายไป 47 คน ที่สำคัญ
ท่านรองนายกประวิตรกลับไปพูดให้เรื่องมันเลวรายลงไปอีก จนต้องออกมาขอโทษขอโพย
แต่กระแสก็ยังไม่หยุดเพียงแต่เบาบางลงหากมีใครหรือเหตุการณ์ใดมากระทบอีก กระแสในเรื่องลบต่างๆก็จะถูกขุดคุ้ยขึ้นมากอีก
เพราะในโลกสังคมปัจจุบันพอมันออนไลน์แล้วมันจะอยู่คู่กับโลกนี้ตลอดไป พอมีเรื่องลบๆเกี่ยวกับนักท่องเที่ยวเท่านั้นเราจะเห็นว่า คลิป
เรื่องการจำกัดโควต้าวีซ่านักท่องเที่ยวจีนก็กลับมาหลอกหลอนกันอีก ซึ่งข้อเท็จจริงในตอนนั้นคือสติกเกอร์วีซ่ามันมีไม่เพียงพอ
(ซึ่งไม่น่าเกิดขึ้น) ก็กลายมาเป็นกระแสเชิงลบได้ตลอดเวลา
ดังนั้นในโลกปัจจุบัน
ไม่ว่า องค์กร หรือ บุคคล
ใครทำอะไรไว้แล้วมันจะจารึกอยู่ในโลกพร้อมที่จถูกขุดคุ้ยมาหลอกหลอนได้ตลอดเวลา ด้วยเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ต ระบบสืบค้น
และกล้องวงจรปิดทั้งหลาย รวมสื่อโซเชียล
จะเป็นตัวที่ทำให้ องค์กร และบุคคล ตั้งอยู่ในความไม่ประมาทเทอด........ ดูอย่าง
ผอ.นิคมอุตสาหกรรมที่โคราช
ตบเด็กเสิรฟ์ไปทีเดียวโดนกระแสด่าทั้งเมือง จนต้องเสียค่าตบไป 40,000 บาท “สงน้ำน่า” เสือกกร่างดีนัก คดีจบ แต่
ตราบาปนี้จะอยู่บนโลกออนไลน์ไปตลอด
หายซ่า หายบ้า ไปเรยครับพี่น้อง @@@...