วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

“ฤทธิ์ ...ตะเกียบคู่ แบรนด์ดังพังชั่วข้ามคืน"

















                           ชื่อเรื่องนี้อาจจะคุ้นๆคนยุค 60 ที่มีภาพยนต์กำลังภายใน  บู๊ ล้างผลาญ และฟันดาบกันจนจอกระจุยไป ไม่ว่าจะ ฤทธิ์มีดสั้น  ชอลิ้วเฮียง  มังกรหยก อะไรประมาณนี้   แต่ในยุค  2518  นี้ฤทธิ์ตะกียบคู่  ดูจะทำให้แบรนด์ที่เป็นระดับโลกไปไม่เป็นเหมือนกันเมื่อ  สังคมชาวจีนโดยเฉพาะสังคมออนไลน์ออกมาต่อต้านคลิป / โฆษณา ของ Dolce & Gabbana  (D & G ) สัญชาติอิตาลี   จากจุดเล็กๆที่ไม่น่าเป็นประเด็นโดยมีนางแบบสาวใช้ตะเกียบคีบพิซซ่า(อิตาลี) ซึ่งเป็นโฆษณาทั่วไปแต่ที่เสียหายและพลาดอย่างไม่น่ าจะเป็นไปได้คือ การที่Stefano Gabbana ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งกล่าวตอบโต้ ในอินสตาแกรมว่า    เราจะบอกคนทั้งโลกว่าประเทศจีนมันแย่ และขอให้รู้ไว้เลยว่าเราอยู่ได้โดยที่ไม่มีพวกคุณ   จะพูด  เพื่อ ....................................
                งานเข้าโดยมิต้องนัดหมายเพราะชาวจีนถือมากในเรื่องวัฒนธรรม  การที่นักธุรกิจระดับโลกพลาดในเรื่องนี้ถือว่าเป็นบทเรียนชิ้นโต  ที่แบรนด์ที่สะสมความดีงามมาตลอดกว่า 30 ปี จะถูกทำลายด้วยคำพูดเพียงแค่ สามสี่ประโยค  หรือ สูญเสียความรักและศรัทธาเพียงชั่วข้ามคือน   อย่าลืมว่าโดยภาพรวมแล้วสินค้าแบรนด์เนมเหล่านี้  ตลาดใหญ่ที่สุดอยู่ในประเทศจีนจนมีการกล่าวอ้างว่ายอดขายสินค้าฟุ่มเฟือยเหล่านี้ยอดขายอยู่ในประเทศจีน หรือ ถูกซื้อโดยคนจีนถึง 30%    ยอดขาย D&G ประมาณปีละ 36,000 ล้านบาท ถ้าคิดสามสิบเปอร์เซนต์ ก็ประมาณ  10,800 ล้านบาท  นี่กระแสถึงกับมีการเอาสินค้าออกมาเผาประท้วง  การไปเขียนข้อความประท้วงที่ร้าน  ฯลฯ  และดูจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ  และคงจะหยุดยาก  แม้มีการออกมาขอโทษจากซีอีโอก็ตาม   เพราะมีการทำคลิปวิธีชีวิตและความภาคภูมิใจของ “ตะเกียบ”  ประมาณว่า เป็นจิตวิญญาณ ของชาวจีน ซึ่งจริงๆแล้วมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ  แต่คลิปนี้ออกมาเพื่อเป็นการตอกย้ำและประท้วง   D&G
การที่คนจีนรักและซื้ออะไรนั้นพวกเขาก็จะแห่กันไปซื้อเรียกว่าจนหมดสต้อกทีเดีย  ดูบ้านเราเป็นตัวอย่าง  “นมเม็ดจิตรลดา”  หาซื้อไม่ได้มาหลายปีแล้วเพราะนักท่องเทียวชาวจีนกวาดซื้อไปหมดเป็นต้น   หรือ  กระแสภาพยนต์เรื่อง  LOST  IN THAILAND  ซึ่งเป็นหนังบ้านๆไม่มีสาระเท่าใด  แต่พอชาวจีนสนใจกระแสมาแรงทำให้ส่งผลถึงการท่องเที่ยวบ้านเราในบัดดล    แต่เราจะเห็นได้ว่าปี 2561 นี้ มีกระแสในทางลบเกี่ยวกับนักท่องเที่ยวจีนอยู่หลายรายการ   โดยเฉพาะเรื่องเรือฟีนิกซ์ล่มทำให้นักท่องเที่ยวตายไป 47 คน  ที่สำคัญ ท่านรองนายกประวิตรกลับไปพูดให้เรื่องมันเลวรายลงไปอีก  จนต้องออกมาขอโทษขอโพย  แต่กระแสก็ยังไม่หยุดเพียงแต่เบาบางลงหากมีใครหรือเหตุการณ์ใดมากระทบอีก  กระแสในเรื่องลบต่างๆก็จะถูกขุดคุ้ยขึ้นมากอีก   เพราะในโลกสังคมปัจจุบันพอมันออนไลน์แล้วมันจะอยู่คู่กับโลกนี้ตลอดไป  พอมีเรื่องลบๆเกี่ยวกับนักท่องเที่ยวเท่านั้นเราจะเห็นว่า   คลิป เรื่องการจำกัดโควต้าวีซ่านักท่องเที่ยวจีนก็กลับมาหลอกหลอนกันอีก   ซึ่งข้อเท็จจริงในตอนนั้นคือสติกเกอร์วีซ่ามันมีไม่เพียงพอ (ซึ่งไม่น่าเกิดขึ้น) ก็กลายมาเป็นกระแสเชิงลบได้ตลอดเวลา 
                ดังนั้นในโลกปัจจุบัน ไม่ว่า    องค์กร  หรือ บุคคล ใครทำอะไรไว้แล้วมันจะจารึกอยู่ในโลกพร้อมที่จถูกขุดคุ้ยมาหลอกหลอนได้ตลอดเวลา  ด้วยเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ต  ระบบสืบค้น  และกล้องวงจรปิดทั้งหลาย รวมสื่อโซเชียล  จะเป็นตัวที่ทำให้  องค์กร และบุคคล  ตั้งอยู่ในความไม่ประมาทเทอด........ ดูอย่าง ผอ.นิคมอุตสาหกรรมที่โคราช  ตบเด็กเสิรฟ์ไปทีเดียวโดนกระแสด่าทั้งเมือง จนต้องเสียค่าตบไป 40,000 บาท  “สงน้ำน่า”  เสือกกร่างดีนัก  คดีจบ แต่ ตราบาปนี้จะอยู่บนโลกออนไลน์ไปตลอด   หายซ่า  หายบ้า  ไปเรยครับพี่น้อง @@@...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ขายรัย...ทำไมเราอิน (มาก)

                                                   เครดิตภาพจาก "เฟสบุคไทรสุก"           สองอาทิตย์ก่อนไปเห็นน้องคนหนึ่งที่เป็...