ในปี 2553 (2010) ญี่ปุ่นมีนักท่องเที่ยวเพียงแค่ 8.6 ล้านคนเท่านั้น ในขณะที่ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวถึง 15.936 ล้าน คือประมาณ 16 ล้าน
ก็เกือบสองเท่าของประเทศญี่ปุ่น โดยสามารถทำรายได้เข้าประเทศได้ถึง 5.92 แสนล้านบาท ตัวเลขกลมๆก็คือ 6
แสนล้านบาท
นับว่าเป็นตัวเลขที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
เพราะจากวันนั้นมาถึงปี 2560 (2017 ) คือแค่ 7 ปี ตัวเลขนักท่องเที่ยวของญี่ปุ่น กลับสูงถึง
28.7 ล้านคน เพิ่มขึ้นถึง 233
เปอร์เซนต์ คาดกันว่าปี 2561 (2018)
ญี่ปุ่นจะมีนักท่องเที่ยวถึง 31.19 ล้านคนจี้ติดประเทศไทย ซึ่งมีนักท่องเที่ยวคาดว่าในปีที่ผ่านมา
2561 มีนักท่องเที่ยวประมาณ 37-38 ล้านคน ทำรายได้ให้ประเทศ 2 ล้านล้านบาท
นับว่าเป็นตัวเลขที่มีนัยะต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศอยู่ไม่น้อยเช่นกัน
แต่ว่าการท่องเที่ยวญี่ปุ่นได้ตั้งเป้าหมายว่า
ในปี 2563 จะมีนักท่องเที่ยวถึง 40 ล้านคน
( 3 ปี เพิ่ม 10 ล้านคน ) ซึ่งผมจะเป็นหนึ่งใน 40 ล้านคนเพราะจะมีมหกรรมโอลิมปิค
2020 ที่โตเกียว ดังนั้นยอดเป้าหมาย 40
ล้านเป็นเรื่องที่เป็นไปได้อย่างแน่นอน และ ปี
2573 เป้าหมายอยู่ที่ 60
ล้านคน ปัจจุบันอุตสาหกรรมการท่องเทียวนับว่าเป็นอุตสาหกรรมที่ช่วยจรรโลงเศรษฐกิจของประเทศ
เพราะนับวันจากความรุ่งเรืองทางอุตสาหกรรมรถยนต์และ
เครื่องใช้ไฟฟ้าในอดีต
ถูกท้าทายด้วยการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี่และวัฒนาการของ AI แบรนด์สินค้าใหม่ๆที่เข้ามาครองใจคนทั่วโลก
ทำให้แบรนด์ของญี่ปุ่นนับวันจะมีความขลังน้อยลงไป คนรุ่นหลังๆอาจจะไม่ค่อยรู้จัก หรือรู้จักก็ไม่ปลื้มกับแบรนด์ โซนี่
โตชิบา พานาโซนิค ไอว่า
และอีกหลายๆแบรนด์ที่เสื่อมความขลังลงไปในช่วงยี่สิบปีที่ผ่าน
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้มีนักท่องเที่ยวเติบโตสูงขึ้นทุกปีนั้น
ส่วนหนึ่งมาจากนโยบายเรื่องการยกเลิกการขอวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวในหลายๆ ประเทศ เช่น
ยกเว้นวีซ่าให้คนไทย เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2556 รวมทั้ง
รัสเซีย อินเดีย มาเลเซีย อินโดนีเซีย
ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวในประเทศเหล่านี้เพิ่มสูงขึ้นเป็นลำดับทุกๆปี โดยเฉพาะประเทศไทย จากเดิมที่ก่อนจะยกเว้นวีซ่ามีนักท่องเที่ยวไทยไปญี่ปุ่นปีละ
1-2 แสนคนเท่านั้น แต่พอยกเลิกวีซ่าในปี
2556 แล้ว เพียงแค่ 5-6 ปี นักท่องเที่ยวเกิน 1 ล้านคนเข้าไปแล้ว และแนวโน้มก็เพิ่มขึ้นปีละ 20-30
เปอร์เซนต์อีกด้วย
เร็วๆนี้คาดว่าจะยกเว้นวีซ่าให้กับ ฟิลิลปินส์ กับ
เวียดนามอีกด้วย
ปัจจัยที่ทำให้ “ญี่ปุ่น”
เป็นประเทศที่น่าเดินทางท่องเที่ยวสามารถสรุปได้ดังนี้
1.แน่นอนครับสำหรับคนไทย เรื่องการยกเว้นวีซ่า เป็นปัจจัยที่สำคัญหนึ่งเพราะทำให้สะดวกและนึกอยากไปเมื่อใดก็ซื้อทัวร์ ซื้อตั๋ว แล้วไปโลด
2.ญี่ปุ่นมีแหล่งท่องเที่ยวมากมายให้เลือก ทั้งทางวัฒนธรรม ทางศิลปกรรม ประวัติศาสตร์
และ เทคโนโลยี่ แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ
(ที่ได้รับการดูแลอย่างดี)
ซึ่งประเทศไทยเราก็มีมากมายเช่นเดียวกันอาจจะยกเว้นเรื่องเทคโนโลยี่เท่านั้นที่เราเป็นรอง เรียกได้ว่าญี่ปุ่นไปได้ทุกเดือน ไปได้ทุกเมือง
และความแตกต่างจากเหนือสุด เกาะฮอกไกโด
จนใต้สุด เกาะคิวชู มีความหลากหลายในทุกมิติ ไม่ว่าจะภูมิอากาศ ประวัติศาสตร์
วัฒนธรรม ฯลฯ
3.การเดินทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถไฟใต้ดิน และ
รถไฟระหว่างเมืองต่างๆเมื่อก่อนนี้แม้ว่าจะสะดวกสบาย แต่สำหรับกระเหรียงไทยแล้วยุ่งยากมาก ไม่เข้าใจ
และ คนญี่ปุ่นเองในสมัยก่อนก็ไม่ค่อยพูดภาษาอังกฤษ
แต่ปัจจุบันด้วยแอพพลิเคชั่นต่างๆมาช่วยเติมเต็มชีวิตนักเดินทางให้สะดวก และรวดเร็ว แถมนักเดินทางรุ่นใหม่ของไทยเรายังสามารถสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษ หรือภาษาคอมพิวเตอร์ (ภาษาแอพพลิเคชั่น)
ได้อย่างที่เรียกว่า มีแอพเดียวเที่ยวได้ทุกเมืองนั่นเอง
รวมั้งจีพีเอสที่สามารถบอกตำแหน่งแห่งหนของบรรดาทุกสิ่งในโลกนี้ 55555
4.ราคาการเดินทางท่องเที่ยวไม่แพงเกินเอื้อมถึง ผมไปญี่ปุ่นครั้งแรกประมาณ 30
ปีเศษใช้เงินประมาณ 50,000 บาท ซึ่งนับว่าสูงมากในสมัยนั้น แต่ปัจจุบัน แค่ 20,000บาทเศษก็ไปได้แล้ว เพราะมีสายการบินราคาประหยัด ห้องพักราคาประหยัด ตั๋วรถไฟราคาประหยัด ทำให้เดินทางได้บ่อยเท่าที่ใจเรียกร้องนั่นเอง คนรุ่นใหม่ใช้เงินเดือนแค่
เดือนเดียวก็ไปท่องญี่ปุ่นได้แล้ว
ในขณะที่สมัยก่อนต้องใช้เงินเดือนถึง 3-4 เดือน
5.มีคนกล่าวว่าอัธยาศัยของคนไทยทำให้มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวบ้านเรากันมากมาย ถ้าจะบอกว่าคนญี่ปุ่นก็เช่นเดียวกัน
ลองสังเกตุเวลาเราไปซื้อของเค้าจะห่อของให้ด้วยความประนีต
ตอนทอนตังก็พูดอะไรไม่รู้ยาวชะมัดแต่ว่ารู้สึกดีอ่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งบ้านเมืองที่สะอาด ปลอดภัย
และมีวินัย ก็เป็นตัวปัจจัยที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวอีกโสตหนึ่งด้วย
6.ค่าเงินเย็นที่อ่อนค่าลง
ทำให้ค่าใช้จ่ายถูกลงในการเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่น
แถมค่าครองชีพในญี่ปุ่นสิบปีที่ผ่านมาเรียกได้ว่าของราคาเดิม เพราะว่าเงินเฟ้อในญี่ปุ่นต่ำมากๆจนอาจเรียกได้ว่าบางปีติดลบด้วยซ้ำไป ตัวอย่างเช่น
เครื่องดื่มโค้กวันนี้ราคาพอๆกับบ้านเราเลยทีเดียวหากซื้อในซุปเปอร์มาร์เก็ต
แม้ว่าต้นปี 2562 ญี่ปุ่นได้เริ่มทดลองเก็บภาษีการเดินทางจำนวน 1,000
เยน นักท่องเที่ยวทุกคนที่เดินทางออกจากญี่ปุ่นจะต้องจ่าย 1,000
เยนประมาณ 300 บาท ถ้ามี 30 ล้านคน ก็จะได้เงิน 9,000 ล้านบาท ซึ่งรัฐบาลจะนำเอาเงินส่วนนี้มาพัฒนาส่งเสริมการท่องเที่ยว เรียกได้ว่าเก็บตังเพิ่มแต่ไม่ลดคุณภาพ เห็นอย่างนี้แล้วก็หนาวนะครับ
แม้ประเทศไทยจะพัฒนาการท่องเที่ยวมาอย่างยาวนาน ไม่น้อยกว่า
60 ปีเพราะตอนเด็กๆผมก็เห็นมีองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยว สมัยนั้นชื่อย่อ “ อสท “ แล้วเปลี่ยนมาเป็น การท่องเที่ยว “ททท”
แต่เราก็ทำงานกันแบบไทยๆ ค่อยๆไปสโลว์บัทชัวร์ประมาณนี้
แต่จากนี้ไปเราจะกินบุญเก่ากันแต่เพียงอย่างเดียวไม่ได้แล้วครับเพราะทุกประเทศ หันมาเน้นในเรื่อง”ท่องเที่ยว” กันทั้งนั้น
แล้วใครจะแชร์ส่วนแบ่งได้มากกว่าก็นก็เป็นคำถามที่ต้องรอคำตอบในอีก 3-5
ปีข้างหน้า ว่า “ท่องเที่ยวญี่ปุ่นจะแซงไทยได้จริงหรือไม่”
ไทยแลนด์
สู้ๆ ๆๆๆๆ
ก็แค่ทำตามปัจจัยที่ญี่ปุ่นประสบความสำเร็จ
เดินตามความสำเร็จโดยนำปัจจัยมาปรับใช้ให้เหมาะกับบริบทของประเทศ อ้อ และก็ห้ามผู้นำหลุดปากบ่อยๆ ก็พอ
55555 ขำไม่ออก บอกไม่ถูก จร้า