วันจันทร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

“กระตุ้นเศรษฐกิจ ใครๆก็คิดได้ “





                     “กระตุ้นเศรษฐกิจใครๆก็คิดได้”  แต่ดูเหมือนว่า  “ใครจะทำแล้วถูกทางมากกว่า”   ถ้าจำได้ผมเคยเขียนบทความเรื่องการเติบโตของเศรษฐกิจมีเครื่องยนต์อยู่ 4 ตัว ตามสมการ (ขอทบทวนหน่อย)  ดังนี้
GDP = C+I+G+(EX-IM)
     1) การบริโภคและจับจ่ายในประเทศ ( Consumer Spending ) : คือยอดค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเพื่อการอุปโภคบริโภค  ภาษาชาวบ้านคือยอดซื้อของทุกคนที่อยู่ในประเทศไทยนั่นเอง  วันนี้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลง  ทำให้ไม่กล้าจับจ่ายใช้สอยเหมือนในอดีตที่ผ่านมา  แม้ว่าเงินเดือนจะไม่ลดแต่ของแพงขึ้นก็เป็นปัจจัยทำให้กำลังซื้อลดลง ในขณะที่ค่าล่วงเวลาของพนักงานมีรายได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญเพราะโรงงานยอดขาย / ยอดส่งออก คงที่หรือลดลง ก็ย่อมกระทบกับกำลังซื้อ  แถมราคาพึชผลเกษตรลดลงอย่างมีนัยสำคัญก็ยิ่งทำให้ประชากรฐานรากขาดกำลังซื้อ   ซึ่งรายได้ส่วนนี้รวมถึงยอดใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวที่มาจับจ่ายใช้สอยในประเทศไทยเรา  ซึ่งอัตราการเติบโตไม่เป็นไปตามเป้าหมายโดยคาดว่าจะลดเหลือ 3.2 ล้านล้านบาท  แบ่งเป็นรายได้จากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ 2.1 ล้านล้านบาท และรายได้จากคนไทยท่องเที่ยวในประเทศ 1.1 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นรายได้ที่ต่ำกว่าการคาดการณ์ ถึง 180,000 ล้าน แล้วถ้าครึ่งปีหลังยอดตกกว่าคาดการ์ณนี้ละ 
โอ้ว....พระเจ้าไม่อย่านึกเลย จริงๆๆ
                 2) การลงทุนภาคเอกชน (Investment ) : ง่ายก็คือบริษัท ห้างร้านเอกชน เอสเอ็มอี  ลงทุนในกิจการต่างๆ  ง่ายๆเลยก็เมื่อคนซื้อของน้อย ส่งออกน้อยลง กำลังผลิตเหลือ เอกชนก็ไม่ขยายการลงทุนไม่ปรับปรุงเครื่องจักร คือไม่แจ่มใสนั่นเอง
                 3) การลงทุนภาครัฐ ( Government Spending ) ชื่อก็บอกแล้วว่าเงินที่รัฐนำมาลงทุนต่างๆ  ถนน น้ำ ไฟ รถไฟฟ้า สาธารณูปโภคต่างๆ   ซึ่งตามแผนระหว่าง ปี พ.ศ 2558 - 2565 ( 8 ปี ) จะลงทุนถึง  3 ล้านล้านบาท ก็หวังว่าจะทำได้ตามเป้าหมาย  แต่ที่สำคัญถ้าเศรษฐกิจเติบโตน้อยรัฐก็เก็บภาษีได้น้อยแล้วจะเอาเงินที่ไหนมาลงทุน  ง่ายนิดเดียวก็ “ กู้ / ออกพันธบัตร”  นั่นเอง  แล้วจะต้องกู้อีกกี่ปีใช้อีกกี่ชาติ  “ต้องไปถามลุงตู่”เอาเองตอนนี้หนี้ก็ท่วมหัวอยู่แล้ว เพราะที่ลงทุนกระตุ้นเศรษฐกิจไปนั้นมันไปเข้ากระเป๋าบริษัทใหญ่ๆหมดไม่ถึงประชกรฐานราก  ตาสี ตาสา ยายมี ยายมา ที่ขายของอยู่ปากซอย
                 4) การส่งออก ( Net Export ) : คือยอดส่งสินค้าออก ลบ ด้วยยอดสั่งซื้อสินค้านำเข้า ซึ่งแน่นอนว่าปีนี้ 2562 ไทยเราจะส่งออกติดลบครั้งแรกในรอบเกือบสิบปีอย่างแน่นอน  ผลจากที่เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกก็เลยจะซื้อสินค้า และมาท่องเที่ยวบ้านเราน้อยลง  และแถมค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอีกยิ่งทำให้ของที่จะขายแพงขึ้นทำให้ลดความสามารถในการแข่งขันก็ยิ่งทำให้ส่งออกน้อยลงไป  เฮ้อ......มันวนเป็นวัวพันหลัก  หาทางออกไม่เจอ ???
                                แล้วตลอด 5 ปี ที่ผ่านมารัฐบาลลุงตู่ 1 ก็กระตุ้นเศรษฐกิจโดยใช้เงินไปไม่รู้กี่  “ล้านล้าน” บาท แล้วทำไมยังไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างเห็นเป็นรูปกระทำเลย  ผมก็เลยคิดเล่นๆแบบชาวบ้านที่มีความรู้ทางเศรษฐศาสตร์พื้นฐาน  เรียนมาแค่ 1 คอรส์เองเมื่อ 40 กว่าปีที่แล้ว  และขอนำเสนอแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบ “บ้าน บ้าน”  เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ  และ การบริโภคในประเทศ
                1.นักท่องเที่ยวต่างชาติ   ให้การบินไทย ซื้อตั๋ว (ราคาเต็ม เพราะทุกวันนี้ขายลดราคาอยู่แล้ว )  1 คน แถม  1 คน มาเลย หรือ ซื้อบิสิเนสคลาส  แถมอีโคให้อีก 1  เพื่อให้มีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น
                2.ให้สมาคมโรงแรมออกแคมเปญ  พักฟรี  2 วัน เลย เอามาให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางเองพักฟรี  เพราะว่า โรงแรมว่างอยู่แล้วเอามาให้พักฟรี  (โรงแรมมีแค่ ต้นทุนค่าน้ำไฟ และ ซักรีด เท่านั้น)  จำนวนหนึ่ง สมมุติ มี  100 ห้อง อัตราเข้าพักอยู่ที่ 50 ห้อง ก็เอามาให้  10-20 ห้อง แล้วแต่ละโรงแรมหรือขอห้องพัก 5 %ของช่วงโลวซีซัน  ตัวอย่าง  3 เดือน 90 วัน รร.มีจำนวนห้อง 100  ก็จะนับได้ว่ามีรูมไนท์ 9,000 รูมไนท์ ตัดมา 5% ก็ให้มา 45 รูมไนท์มาเลย โดยมอบให้กับทาง ททท. หรือ สมาคมโรงแรมเป็นผู้จัดสรร  หรือมอบให้สายการบินเป็นผู้แจก เรย รับรองปังดังโดนแน่ๆ
                3.ตอนนี้มีบริการทำวีซ่าเมื่อเดินทางมาถึงอยู่แล้ว VOA =VISA ON ARRIVAL แต่ว่าต้องมายืนรอหากมีนักท่องเที่ยวมากๆ   แต่มีอีกวิธีหนึ่งที่สถานทูทไทยไม่เคยใช้  คือ การให้วีซ่า  ที่สามารถเข้าออกได้หลายครั้ง   MULTIPLE VISA  และให้ระยะเวลายาวไปเลย  เช่น  2 ปี   ตัวอย่างแคนาดาให้วีซ่าตลอดอายุของพาสปอร์ต์ที่เราไปขอวีซ่า   แชงเก้น(ยุโรป) ให้ 1 ปีบ้าง  2 ปี บ้าง แล้วแต่ขอ แล้วแต่ประวัติของพาสปอร์ต  ทำแบบนี้ทำให้เพิ่มโอกาสในการเดินทางมากขึ้น  หรือถ้าจะให้ดีก็ให้ฟรีวีซ่าไปเลย แบบญี่ปุ่น  ทำให้นักท่องเที่ยวเข้าญี่ปุ่นนั้นเพิ่มจนเกือบจะ  40 ล้านคน ใกล้เคียงกับประเทศไทยแล้ว   ที่ทราบเพราะว่ามีลูกค้าหลายคนขอวีซ่ามาไทยยากมากๆ  แถมขอแบบเข้าออกหลายครั้งก็ไม่ได้ไม่ยอมให้อีกต่างหาก  กระทรวงต่างประเทศควรปรับนโยบายได้แล้ว  มาขอปุ๊บให้ไปเลย 1 ปี  ซึ่งโดยปกติแล้วค่าธรรมเนียมวีซ่าก็จะมากกว่าที่เข้าออกครั้งเดียวอยู่แล้ว  แต่จะสามารถเพิ่มโอกาสในการเดินทางได้อีก   
                4.แจกบัตรเข้าชมสถานที่ต่างๆ เช่น สวนนงนุช  ฟาร์มจรเข้  ภูเก็ตแฟนตาเซีย ฯลฯ หรืออาจจะแค่ 1 แถม หนึ่ง  หรือ 1 แถมสองไปเรย
                5.ห้างร้านทั้งหลายจัดแคมเปญลดแบบสุดๆ  และ ขอคืนภาษีแวตได้โดยปรับให้เป็นแบบญี่ปุ่น คือซื้อร้านไหนลดเดี๋ยวนั้นเลย   ไม่ต้องไปรอขอคืนที่สนามบินอย่าไปกลัวว่าซื้อแล้วจะไม่นำกลับออกไป ซื้อแล้วมอบสินค้านั้นให้คนไทยก็เกิดการจับจ่ายใช้สอย  อย่าไปกลัวว่าคนไทย ร้านไทย จะมั่วมาซื้อแบบไม่มีแวตเพราะเราสามารถกำหนดร้าน / ห้างที่น่าเชื่อถือ (ไม่โกง) / เอาท์เล็ต   ให้เป็นจุดที่จะจัดทำแคมเปญนี้   อาจโดยต้องรูดพาสปอร์ตเพื่อแสดงตัวตนให้ชัดเจนซึ่งปัจจุบันนี้เทคนโนโลยี่ตัวนี้ไม่แพงเพราะที่คิงส์พาวเวอร์มีใช้ทุกจุดชำระเงินอยู่แล้ว
                ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงนี้เป็นมาตราการระยะสั้น  สามารถทำได้ทันที่แต่ในเวลาเดียวกันก็ต้องดำเนินมาตราการะยะยาว  เช่นที่ทุกหน่วยงานทราบดีว่าต้องพัฒนาแห่งท่องเที่ยว  ฯลฯ อยู่แล้ว    ที่สำคัญต้องให้ทุกภาคส่วนร่วมมือกันจัดทำแคมเปญในช่วงเวลาเดียวกัน (ช่วงโลว์ซีซั่น) และต้องทำเป็นจังหวัด หรือกลุ่มจังหวัด  เพื่อจะได้เกิดผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ เหมือน ฮ่องกงท่ำแคมเปญลดทั้งเกาะ เป็นต้น  เชื่อได้ว่าจะสามารถกระตุ้นนักท่องเที่ยวต่างชาติได้และเมื่อมีนักท่องเที่ยวเข้ามามากๆแล้ว  ก็จะเกิดการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มตัวเลขจีดีพีได้อย่างมีนัยสำคัญ  แล้วก็จะวนมาเรื่องการลงทุนของภาคเอกชน   เพราะถ้ารอแต่การส่งออกตามลำพัแล้วคงเป็นหมันแน่นอน


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ขายรัย...ทำไมเราอิน (มาก)

                                                   เครดิตภาพจาก "เฟสบุคไทรสุก"           สองอาทิตย์ก่อนไปเห็นน้องคนหนึ่งที่เป็...