วันเกิดเหตุ คือ 27 ธันวาคม
2553 เหตุการณ์ผ่านไป 9 ปี จนคดีทุกคดีสิ้นสุดลง
ทั้งคดีอาญาและคดีแพ่ง ซึ่งในที่สุดศาลอาญาก็มีคำพิพากษาลงโทษ เมื่อวันที่ 22 เม.ย.57 จำคุกเป็นเวลา 2 ปี โดยโทษจำคุกนั้นให้รอลงอาญา ซึ่งศาลอุทธรณ์กำหนดให้รอลงอาญาเป็นเวลา 4
ปี และให้คุมประพฤติจำเลยเป็นเวลา 3 ปี
โดยให้บำเพ็ญประโยชน์ 48 ชั่วโมงต่อปี เป็นเวลา 3 ปี รวม 144 ชั่วโมง รวมทั้งห้ามจำเลยขับรถยนต์จนกว่าจะมีอายุครบ
25 ปีบริบูรณ์
ซึ่งในกรณีอาญานี้ทุกอย่างจบเรียบร้อยไปแล้วรวมทั้งการคุมประพฤติ
การรอกำหนดโทษ และ การบำเพ็ญประโยชน์
จำเลยได้ปฏิบัติครบถ้วนแล้ว (ศาลฏีกา ไม่รับฎีกา)
ส่วนคดีแพ่งล่าสุดเมื่อ 8 พฤษภาคม
2562 ศาลฎีกามีคำพิพากษาว่าให้ชดใช้โจทย์ 28 ราย (เสียชีวิต 9 ราย ) รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 24.7 ล้านบาท ไม่รวมดอกเบี้ยซึ่งระยะเวลาที่เนินนานมาถึง
9 ปี ทำให้ดอกเบี้ยเพิ่มพูนเป็นหลายสิบล้านบาทแล้ว
แล้ว.......สังคมได้เรียนรู้อะไรบ้างสำหรับกรณีนี้บ้าง ???
ซึ่งแตกต่างจากหลายคดีที่เกิดอุบัติเหตุจนมีผู้เสียชีวิต ลองย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ลูกชายโหน่ง ชะช่าช่า
ที่ขับรถชนวิศวกรจนเสียชีวิตเช่นเดียวกัน แต่ว่าโหน่งพาลูกชายไปกราบศพและขอโทษครอบครัวผู้เสียชิวิต และประกาศรับผิดชอบพร้อมส่งเสียลูกผู้เสียชีวิตในด้านการศึกษา ส่วนเสี่ยรถเบนซ์ที่เมาแล้วขับรถชนตำรวจเสียชิวตก็บวชอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ตาย และมอบเงินช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชิวิต 45
ล้านบาท
ในขณะที่กรณี “แพรวา”
ซึ่งก็เข้าใจได้ว่าขณะเกิดเหตุน้องอายุแค่ 16-17 ปี ยังเป็นเยาวชนซึ่งคงจะแบกรับสถาณการณ์ได้ไม่ดีเช่นผู้ใหญ่
แต่ครอบครัวบิดามารดาย่อมต้องเป็นเสาหลักในการให้คำแนะนำ สิ่งที่ทั้ง”แพรวา
“ และครอบครัวควรที่จะกระทำในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา
ซึ่งมิได้หมายถึงการชดเชยให้ครอบครัวผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บ แต่ผมหมายถึง
...........การแสดงความรู้สึกเสียใจอย่างแท้จริง
...........การไปร่วมเคารพศพ ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ตาย
............การไปเยี่ยมผู้บาดเจ็บ
............การช่วยเหลือค่าใช้จ่ายต่างๆ ซึ่งต้องควรช่วยเหลือตามกำลังฐานะ ณ. ขณะนั้นๆ แม้จะไม่มากมายถึง 45 ล้าน หรือ
รับส่งเสียอุปการะการศึกษาบุตรผู้เสียหาย
แต่ก็ควรจะช่วยเหลือเท่าที่ครอบครัวจะสามารถช่วยได้ การที่ครอบครัวมีที่ดิน 21 ไร่
บ้านในหมู่บ้านใหญ่โตมูลค่าทรัพย์สินมากกว่า 50 ล้านบาท ย่อมต้องแสดงออกถึงความมีฐานะทางเศรษฐกิจในระดับหนึ่ง แต่นี่กลับไม่ได้ช่วยเหลือตามสมควรโดยปล่อยให้ว่างเว้นไว้ถึง
9 ปี และจากคำให้สัมภาษณ์ของผู้เสียหาย
ได้รับเงินช่วยเหลือในระดับหมื่นเท่านั้นเอง
...........รวมทั้งการแสดงออกและคำพูดของทนายความยังไปทำร้ายจิตใจของผู้เสียหายและครอบครัวเพิ่มเข้าไปอีก ทำให้ยิ่งตอกย้ำความรู้สึก ยิ่งปล่อยให้เวลาเนินนานมา ถึง 9 ปี
จนศาลสูงสุดตัดสินซึ่งในระหว่างนั้นก็สามารถมอบเงินช่วยเหลือ
ตามกำลังความสามารถของครอบครัวได้อยู่แล้วแต่ไม่ทำ มาวันนี้บอกมีทรัพยสินมูลค่ามากกว่า 50 ล้านบาท
คนมีทรัพยสินขนาดนี้จะบอกว่ามีเงินสดหรือสังหาริมทรัพย์อื่นๆ กระเป๋า
เครื่องเพชร ฯลฯ
จะไม่มีเลยกระนั้นหรือ ??? แล้วทำไมจึงช่วยเหลือแค่หลักหมื่น ??? เลยยิ่งทำให้อารมณ์ของสังคมนั้นไม่สามารถยอมรับต่อพฤติกรรมนั้นได้
จนเป็นกระแสที่ทำให้ครอบครัวและน้องแพรวาไม่สามารถยืนอยู่ในสังคมได้อย่างมีปกติสุข ซึ่งไม่รู้ว่าจะใช้เวลากีปีที่ครอบครัวนี้จะมีความรู้สึกปกติ..........หรือ..........อาจจะไม่มีโอกาสเลยก็ได้.....หรือไม่
????
การบริหารความรู้สึกของผู้เสียหาย และ สังคมนั้นเป็นสิ่งเปราะบาง ยิ่งในสังคมเทคโนโลยี่ โซเชียลมีเดียนั้นมันรุนแรง และ เร้าร้อน
จึงเป็นสิ่งที่ใครก็ตามต้องให้กรณีนี้เป็นบทเรียนและบริหารความรู้สึกของผู้เสียหายและสังคมให้เหมาะสมต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น