ไปทางไหนก็เห็นมีแต่คนส่ายหัวเรื่องเศรษกิจ ต่างก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าแย่ๆๆๆ และ แย่
อันนี้หมายถึงชาวบ้านร้านตลาด
วิสาหกิจชุมชน และ เอสเอ็มอีทั้งหลาย
แต่เมื่อดูตัวเลขของบริษัทยักษ์ใหญ่ในตลลาดหลักทรัพย์ เกือบทุกบริษัทกลับเติบโตเป็นที่น่าพอใจ นั่นแสดงว่าโดยภาพกว้างๆแล้วที่ภาษาทางเศรษฐศาสตร์เรียกว่าแมคโครอีโคโนมิคนั้นคงจะไมดีนัก แต่หากมองในภาพแคบๆคือไมโครอีโคโนมิคแยกเป็นหมวดๆ แยกเป็นกลุ่มอุตสาหกรรม แยกเป็นบริษัทต่างๆนั้นยังคงมีทั้งแย่ และ
ดี อันนี้ก็ว่าตามทฤษฎีเศรษฐศาสตร์เบื้องต้นที่ผมมีความรู้อยู่น้อยนิด
จากการคาดการณ์ของหลายสำนักสำหรับประเทศไทยเราแล้วคงอยู่ระหว่า 2.7-3.0 % ที่จีดีพีของเราจะเติบโต ก็จะมีคนแย้งว่าไหงบริษัทผมยอดขายตก กำไรลด แล้ว จีดีพีไทยจะโตได้อย่างไร ก็ต้องกลับไปดูข้างต้นคือว่ายังมีคนอื่นดีอยู่งัยครับ
แต่ว่าบริษัทที่ยังดีอยู่นั้นเป็นบริษัทขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะกลุ่มเบียรช้าง กลุ่มซีพี
กลุ่มเซ็นทรัล ฯลฯ เป็นต้น เรียกว่ายักษ์ใหญ่ยังโต ก็เลยช่วงพยุงเศรษฐกิจไทยไว้ได้
ประกอบกับการท่องเที่ยวแม้ไม่โตเท่ากับเป้าหมายที่ตั้งไว้ แต่ก็ยังพอมีโอกาสโตอยู่บ้างเพราะนี่ก็ใกล้จะช่วงฤดูการท่องเที่ยวแล้ว ตุลาคม- มกราคม
จะมีนักท่องเที่ยวยุโรปหนีหนาวมารับไออุ่นในเมืองไทยอยู่มากโข แต่ว่าปีนี้ด้วยเศรษฐกิจยุโรปเองก็เดี้ยงและจะเป็นอย่างนี้ไปอีกเป็น
10 ปี หรือมากกว่า แต่......ค่าครองชีพที่ต่ำและความสงบสุขในบ้านเรานั้น
ทำให้นักท่องเที่ยวยุโรปยังมาบ้านเราอยู่เรียกได้ว่าอยู่เมืองไทยค่าใช้จ่ายถูกกว่าก็อาศัยเงิน
บำนาญมาเที่ยวได้อย่างสบายๆนั่นเอง
เศรษฐกิจแย่ไม่ใช่ข้อแก้ตัว ต้องอยู่ในสายเลือดของผู้บริหาร ผู้ปกครอง
ที่จะต้องนำองค์กรฝ่ามรสมุไปได้
ทำไปหลายๆประเทศเค้าเติบโตได้ จีน
แม้จะลดจาก 6.6 เหลือ 6.2 ก็ยังมากกว่าประเทศไทยเกือบเท่าตัวทั้งๆที่ขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก
ใหญ่กว่าประเทศไทยไม่รู้กี่เท่า เวียดนามซึ่งเพิ่งผ่าสงคราซึ่งสิ้นสุดลงในปี
1975 ตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นมาเติบโตเฉลี่ย
5 % และในปี 2017
ก็เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 6.8 ทำให้ GDP
ต่อหัวในปี 1985 อยู่ที่ 230 ดอลลาร์ ในปี 2017 ตัวเลขนี้พุ่งขึ้นไปถึง 2,343
ดอลลาร์ เรียกได้ว่าเติบโตอย่างก้าวกระโดด
ผมไปเวียดนามทุกปีได้เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน ที่สำคัญในสือต่างๆไม่เห็นมีว่านายกรัฐมนตรี ประธานาธิบดี ไปเปิดงานโน่นนี่นั่น แบบว่ารับจ้อบเรย มีแต่งานใหญ่ๆระดับชาติ งานพบทูต
งานพบผู้นำต่างชาติ
หารือเศรษฐกิจการค้า
เป็นสำคัญ
เขียนแปะข้างฝาไว้เลยเวียดนามจะแซงไทยในไม่เกิน 20
ปีข้างหน้าซึ่งผมคงตายไปแล้ว
ก็ฝากลูกฝากหลานไว้ว่าจะทำอย่างไร
ซึ่งก็ขอเสนอแนะแนวทางแบบบ้านๆจากคนวัยเกษียณคนนี้ไว้ก็แล้วกัน
เมื่อเร็วๆนี้ทางกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬานั้นเสนอให้เปิดฟรีวีซ่า
คือไม่ต้องมีวีซ่าก็สามารถเข้าประเทศได้สำหรับจีนและอินเดีย คือประมาณว่าต้องการปริมาณใครเข้ามารับหมด แบบญี่ปุ่นเปิดฟรีวีซ่าให้ไทย
และ หลายๆชาติจนทำให้นักทก่องเที่ยวจะแซงเราในปี 2020 แล้วครับ
แต่ดีว่าทางฝ่ายความมั่นคงไม่ยอมให้ผ่านง่ายซึ่งก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วครับ
แต่ว่า................แนวคิดในเรื่องวีซ่านั้นผมมีอีกมุมมองหนึ่ง คือ ให้ขอวีซ่าเหมือนเดิมแต่เพิ่มเติมคือว่าให้เข้าออกได้หลายครั้ง
MULTIPLE ENTRY ระยะเวลายาวๆไปเลย เช่น 1 ปี หรือ 2
ปี ถ้าใจป้ำก็ให้ตลอดอายุหนังสือเดินทางฉบับนั้นๆไปเลย
แบบเดียวกับที่แคนานาให้วีซ่าผมเท่ากับอายุหนังสือเดินทาง
หรือทางยุโรปตอนนี้ก็ให้ระยะยาวขึ้นของผมได้สองปี ของภรรยาได้หนึ่งปี ทั้งนี้ให้ดูตามประวัติการดินทางและอาชีพการทำงานตลอดจนสถานะทางการเงินเป็นสำคัญ การให้วีซ่าแบบนี้ทำให้เกิดโอกาสในการมาท่องเที่ยว และ
เพิ่มความถี่ได้อย่างไม่มีข้อสงสัยเพราะสะดวกในการตัดสินใจ และก็ไม่ขัดกับเรื่องของความมั่นคงด้วย เพราะได้มีการขอวีซ่าซึ่งก็มีการตรวจสอบในทุกๆมิติอยู่แล้ว
แค่นี้....ทำไมคิดกันไม่ได้ ฮึฮึฮึ....
ดีแต่จะแจกเงินให้คนเที่ยวไทยคนละพันบาท...จะเกิดมรรคผลแค่ไหนเพราะว่าต้องไปลงทะเบียนและยังต้องไปใช้จ่ายกับร้านค้าหรือโรงแรมที่ก็ต้องลงทะเบียนเฉพาะงานนี้อีก
เรียกได้ว่าทำให้มันยุ่งเข้าไว้ง่ายๆไม่ทำ เป้าหมายร้านค้าที่ลงทะเบียนคือ 100,000 ร้านค้า ซึ่งก็คือ มีร้านค้าเข้าร่วมโครงการชิมช้อปใช้แล้วกว่า 1
แสนราย โดยเป็นร้านค้าเดิมที่อยู่ในโครงการบัตรสวัสดิการประชารัฐจำนวน
8 หมื่นราย และ ร้านค้าใหม่ที่เข้าร่วมโครงการอีก 3.2
หมื่นราย ( อ้างอิงhttps://www.bangkokbiznews.com/news/detail/847104)
กรรมประเทศไทย ได้เงิน 1,000
บาท แต่ต้องไปซื้อ น้ำมันพืช สบู่ แชมพู ในร้านธงฟ้าประชารัฐ เราจะไปเที่ยวนะพี่น้องไม่ได้ไปช้อปปิ้งในร้านที่ส่วนใหญ่เป็นสินค้าอุปโภคบริโภค
......กรรมไม่ต้องแบเรยครับ ส่วนอีก 3.2
หมื่อนร้านค้าที่ลงทะเบียนไว้
เวลาจะไปใช้ก็ต้องไปคนหาชื่อร้าน พิกัดร้าน ในเว็บไซท์อีกทีหนึ่ง แล้วนั่งรถ
หรือ ขับรถไปใช้บริการหรือซื้อสินค้าในร้านนั้น โอ้ย.....ไม่ไปดีกว่ากระมัง
นอนตีพุงอยู่กับบ้านเพราะออกไปก็ต้องใช้สามสี่พัน ได้มาพันหนึง สรุปแล้วขาดทุน !!!!!!
แต่ว่ากระตุ้นท่องเที่ยวไทยก็ต้องทำอย่าไปหวังแต่ต่างชาติเหมือนกับที่เราผูกเศรษฐกิจกับการส่งออกถึง
60% ของจีดีพี
พอส่งออกทรุด ติดลบ งานก็งอกแยะต้องสร้างสมดุลย์ในทุกมิติ ทั้งการส่งออก
การบริโภคในประเทศ
ทั้งการใช้จ่ายภาครัฐ
และการลงทุนของรัฐบาล
ทิ้งท้าย.....หากเค็กก้อนนี้มันเล็กลงในขณะที่คนกินเท่าเดิม ก็คงต้องไปหาเค็กก้อนอื่นหรือก๋วยเตี๋ยว
กินเพื่อให้อิ่มท้อง......ไม่ใช่โกวเล้งกล่าวไว้.!!!!!