วันอังคารที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2563

สื่อสารภาวะวิกฤติ พิชิตโควิด-19 by 2T2D2S


             


                 ปัญหาโควิด-19 ไม่เพียงแต่เป็นปัญหาของอู่ฮั่น หรือจีนแต่เพียงประเทศเดียว  วันนี้กลายเป็นปัญหาของโลกเราไปอย่างเต็มตัวแล้ว  คงไม่มีประเทศใดที่ไม่ได้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19  ต่างกันคงแต่ระดับความรุนแรงของผลกระทบแน่นอนว่าปัญหาแรกคือทางด้านสุขภาพอนามัยของประชาชน   แต่สิ่งที่ตามมายังมีอีกมากไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ  สังคม  อาชญากรรม  ความสงบสุข  ฯลฯ   ซึ่งในภาวะวกฤติเช่นนี้  “การสื่อสาร”  นับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งที่ รัฐ หรือผู้รับผิดชอบทุกระดับจะต้องให้ความสำคัญไปไม่น้อยกว่ามาตราการต่างๆในการแก้ไขปัญหา   เพราะที่ผ่านมาเราพบกับจุดอ่อนของการสื่อสารที่อยากจะเรียกว่า  “การสื่อสารในภาวะวิกฤติ”   มีรัฐมนตรีออกมาให้ข่าวรายวันในขณะที่คุณหมอก็ให้ความคิดเห็นทางวิชาการระบาดวิทยา   ทำให้ประชาชนสับสนในระยะแรกๆว่า “มันไม่น่ากลัว”  จริงหรือไม่ทำไมรัฐมนตรีกับผู้เชียวชาญระบาดวิทยากลับมองเห็นต่างกันถึงเพียงนั้น    การทำความเข้าใจกับประชาชนในภาวะวิกฤติเช่นนี้นับว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง  เพราะแค่ระยะแรก รมต.ออกข่าวใหญ่โตหน้ากากอนามัยมีสต้อก 200 ล้านชิ้น  ซึ่งมีหรือเปล่าไม่รู้ หรือแค่จะเพียงแต่สร้างความเชื่อมั่นไม่ให้คนตระหนกเท่านั้น  แต่พอมาถึงวันขาดแคลนประชาชนหาซื้อไม่ได้ในตลาดสว่างแต่ดันหาซื้อได้ในตลาดมืด  ทำให้สามารถตีกความได้ต่างๆนาๆ    ดังนั้นลองมาดูกันครับว่าในภาวะวิกฤติอย่างนี้เราควรสร้างระบบและมีแนวทางอย่างไรในการสื่อสารเพื่อทำความเข้าใจ  ร่วมใจ  เห็นใจ โดยใช้หลัก   2T2D2S   โดยจะแยกเป็นข้อๆ ดังต่อไปนี้
            TEAM  อันนี้เป็นเบื้องต้นเลยครับที่ต้องจัดตั้งคณะกรรมการที่รับผิดชอบสูงสุด  หรืออาจเรียกได้ว่าวอร์รูม  โดยมีผู้บริหาร ผู้เชียวชาญที่เกี่ยวข้อง  โดยมีผู้มีอำนาจตัดสินใจสูงสุดอยู่ในที่ประชุม   เพราะไม่อย่างนั้นการบริหารจัดการ  สั่งการ ก็ต่างคนต่างทำไม่สอดรับกัน  แถมบางครั้งยังออกข่าวขัดแย้งกัน (โดยไม่ได้ตั้งใจอีกด้วย)  ซึ่งรัฐบาลเพิ่งมาตั้งเมื่อเหตุการณ์ผ่านไปสองเดือน รอจนสถานการณ์รุนแรงหรือตอนนั้นอาจจะคิดว่า "เอาอยู่" ก็ไม่รู้  เรื่องเหล่านี้ต้องคิดล่วงหน้าครับ  ไม่ใช่รอให้สุกงอม หรือ ร่วงจากต้น แล้วค่อยมาตั้งก็จะเกิดความเสียหายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
            SPOKMAN  คือตัวโฆษกของคณะกรรมการฯ ที่ต้องมีคนเดียว  หรือสองคน  แยกความรับผิดชอบกัน   ทางนโยบาย 1 คน และทางเทคนิคหรือผู้เชียวชาญ 1  คน     คนที่ไม่เกี่ยวข้องไม่ต้องให้ข่าวเพราะจะยิ่งเพิ่มความสับสน     รมต.ก็ควรให้ข่าวเฉพาะที่เป็นเรื่องนโยบาย (ของกระทรวงตนเองเท่านั้น)     และควรรวบรวมข้อมูลแถลงอย่างเป็นทางการ  อะไรไม่ใช่เรื่องนโยบายไม่ต้องให้ข่าวโดยเฉพาะอย่างยิ่งทางเทคนิค  อย่างที่เราเห็นว่ารัฐมนตรีบอกว่า “โรคนี้ไม่น่ากลัว”  ทั้งๆที่ความจริงไม่อยากให้ประชาชนตื่นกลัวจนเกินไป  เพราะการให้สัมภาษณ์แบบนักข่าวเดินตามมีโอกาสพลาดที่อาจจะเกิดจากหลายสาเหตุไม่ว่าจะกลอนพาไป  อารมณ์พาไป  หรือ คำถามกำกวมเลยตอบพลาด   ฯลฯ  แต่ถ้าแถลงอย่างเป็นทางการมีหมอ ผู้เชียวชาญอยู่ด้วย  คำถามทางเทคนิคก็โยนไปให้  หมอ หรือ ผู้เชี่ยวชาญเป็นคนตอบ
            TRUTH   ข้อมูลที่สื่อสารนี้นจะต้องเป็นความจริง  ข้อมูลที่ถูกต้อง มีแหล่งอ้างอิงได้ทางวิชาการ  ให้งดเว้นเรื่องความคิดเห็น (แต่คงจะยากสำหรับนักการเมืองดังนั้นจึงควรเป็นหน้าที่ของโฆษกของคณะกรรมการวอร์รูมนั้นซึ่งจะสามารถสร้างความน่าเชื่อถือได้มากกว่า 
            DECESSION  กระบวนการตัดสินใจในแนวนโยบายใดๆจะต้อง  รวบรวมข้อมูลรอบด้าน  ตัดสินใจอย่างมีระบบและไม่ใช่ทำเป็นหย่อมๆ  ไม่ครบวงจร  ดูจากปิดกทม.เป็นตัวอย่างคนต่างจังหวัดต้องหยุดงาน 22 วัน ก็คงต้องกลับบ้านโดยเฉพาะพวกลูกจ้างรายวันเพราะอยู่ กทม. ก็ไม่มีกิน    ตอนนี้หลายจังหวัดกิปิดสถานที่หลายแห่งคล้าย กทม.  คำถามผมคือ ทำไมไม่ทำทุกจังหวัด  ประเทศเราไม่ได้ใหญ่เท่าจีนเค้าปิดอู่ฮั่นแต่ปิดแบบล้อคตาย  เราปิดแบบครึ่งนึงก็ทำให้คนไหลไปไหลมา   การขอความร่วมมือในภาวะวิกฤติก็คงได้ระดับหนึ่ง   แต่ถ้ามันวิกฤติมากขนาดนี้คงต้องใช้ระเบียบ กฎหมายเป็นเครื่องมือแล้วครับ
            SPEED / TIMING  ความรวดเร็วในการสื่อสาร  ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งเพราะหากบางข้อมูลสื่อสารช้าไปอาจจะทำให้วิกฤตินั้นขยายวงหรือรุนแรงมากกว่าเดิม   แต่ทั้งนี้ก็ต้องเป็นข้อมูลที่ถูกต้องตรวจสอบแล้วอย่างครบถ้วนด้วย   รวมทั้งช่วงเวลาในการสื่อสารอีกด้วยว่าจะต้องสอดคล้อง สมควรแก่เวลา  โดยมีปัจจัยที่ต้องคำนึงถึงคือต้องไม่ทำให้วิกฤตินั้นขยายเพิ่มขึ้นหรือรุนแรงขึ้นเป็นสำคัญ   เรียกได้ว่า ไม่ช้า ไม่เร็ว จนเกินไปนั่นเอง
            DIRECTION  มีทิศทางในการปฏิบัติชัดเจน  มีเอกสาร ภาพประกอบ  แต่สมัยนี้เค้าใช้ E-CARD  เพราะการอธิบายขยายความไป สองหน้ากระดาษสามารถสรุปทิศทางในการปฏิบัติได้    ซึ่งแผนภาพนี้จะทำให้คนรับสารสามารถเข้าใจได้มากกว่าและยังชัดเจนไม่ต้องตีความ    ที่สำคัญสื่อต่างๆสามารถนำข้อมูล  แผนภาพ  E-CARD นี้ไปใช้สื่อสารต่อได้เลย  เพราะหากให้สื่อสารมวลชนไปทำภาพประกอบเองอาจจะคลาดเคลื่อนโดยไม่ได้ตั้งใจก็ได้   เรียกได้ว่าสารต่างๆที่ต้องการให้ถึงประชาชนจะไปในทิศทางเดียวกันนั่นเอง
            เรียกได้ว่ามันเป็นทั้งศาสตร์ของการสื่อสารมวลชน   บวกกับทักษะในการบริหารจัดการ    แต่สุดท้ายแล้วเชื่อได้ว่าเราจะต้องฝ่าฝันและเอาชนะอุปสรรคจาก “โควิด -19” นี้ไปได้  แต่จะไม่ตบท้ายด้วยคำว่า  “เราต้องชนะ”  เพราะมีคนอื่นเอาไปใช้แล้ว  แต่คงเพราะอารมณ์พาไปเลยไม่สามารถสร้างจุดร่วมกับประชาชนได้เพราะท่านเป็นทหารมาทั้งชีวิต  ไม่ใช่นักพูด นักอภิปราย   ตอนนี้ท่านมาถูกทางแล้วครับ  ไม่ให้สัมภาษณ์มา 2-3 วันแล้ว  “สุดยอดการสื่อสารในภาวะวิกฤติ”  ครับพี่น้อง ...................
           
           

วันจันทร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2563

เล็ก..กระทัดรัด...แต่มัดใจ !





                ว่าจะเขียนเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นเดือน มกราคม 2563 หลังจากไปพักผ่อนที่เชียงรายเมื่อช่วงปีใหม่   แต่ก็มีเหตุอื่นๆทำให้ไปเขียนเรื่องอื่นๆก่อน  พอมาช่วง 5-7 มีนาคม 2563  ได้เดินทางไปเพื่อประชุมที่พัทยา  ก็ไปพักและค้นพบความเหมือนที่สัมผัสได้ของโรงแรมที่พักทั้งสองแห่ง คือ  "เล็ก ....กระทัดรัด....แต่มัดใจ !!”  ขอเอ่ยนามโรงแรมทั้งสองคือ  “ โรงแรมดูวอลล์ ที่เชียงราย  กับ “โรงแรม ยู จอมเทียน” ที่พัทยา  ทั้งสองแห่งเป็นโรงแรมขนาดเล็กมีห้องไม่ถึงร้อยห้อง   แต่ใส่ใจในกระบวนการตั้งแต่การออกแบบแล้วมันสวยถูกใจ   ไม่ใช่เข้าไปในห้องเป็นสี่เหลี่ยม มีเตียง ตู้ ห้องอาบน้ำ ฯลฯ เหมือนโรงแรมทั่วไป  การออกแบบไม่ได้มุ่งเน้นแต่การให้ได้กำไรสูงสุด   เอาพื้นที่ทั้งหมดมาจัดทำเป็นห้องพักให้มากที่สุดเพื่อจะได้รายได้สูงสุด  แต่คำนึงถึงสุนทรียเป็นสำคัญ
                โรงแรมดูวอลล์  นั้นเอาแนวคิดเรืองศิลปมาเป็นจุดขายเพราะว่าเจ้าของเป็นคนชอบเรื่องศิลปะแถมอยู่หลังวัดร่องขุ่น  เรียกได้ว่ามองออกมาจะเห็นวัดอยู่เบื้องหน้า  ตลอดทางเดินและโถงจะมีศิลปให้เสพทางสายตาอยู่แม้คนไม่อินกับศิลปอย่างผมก็อดที่จะเหลียวมองไปไม่ได้  แถมในห้องยังแบ่งเป็นห้องเล็กๆ เป็นห้องกระจกมีรูปอยู่ข้างใน  เสมือนว่าเราเข้าไปนอนชมในแกลลอรี่เรย  แน่นอนรูปในนั้นราคาต้องตาลุกวาวซึ่งพร้อมที่จะขายให้แก่ผู้มีสุนทรียและมีตัง ...ดังนั้นผมขอบายยย  แค่เสพและฝันกันฟินอินกับภาพไปแล้วครับ  ห้องพักระดับตำนานก็คือห้องที่เปิดไปเป็นที่เป็นสระน้ำเล็กๆ  น่าจะเอาไว้แช่น้ำว่ายไม่ได้แต่แช่แล้วชมวิวทุ่งนาที่เขียวขจี  หรือตอนออกรวงเหลืองทองคงจะให้ความผ่อนคลายที่ไม่เหมือนที่ใด    มีห้องพักที่เป็นเต้นท์แบบถาวรก็ไห้อารมณ์ไปอีกแบบหนึ่ง     นอกจากนี้แล้วสระว่ายน้ำซึ่งมีขนาดเล็ก...มาก ... แต่ว่าวิวข้างสระนี่ซิมันคือ  “ทุ่งนา”  โอ้ววววว........   และขอบอกว่า เจ้าของและลูกชายมาดูแลกิจการและลูกค้าเองด้วยความรู้สึกว่าเปรียบเสมือนไปพักบ้านญาติอะไรปานนั้น   ในห้องโถงล้อบบี้มีอผลไม้ เครื่องดื่ม ไว้บริการอยู่ตลอดเวลา  แถมอาหารเช้าที่รวมอยู่ในค่าโรงแรมเรียบร้อยแล้ว  ก็ได้ถูกรังสรรค์ให้น่ากินด้วยภาชนะบรรจุ  แม้ว่าอาหารก็จะเหมือนๆกับโรงแรมโดยทั่วไป   แต่ใส่ใจในภาชนะบรรจุและการบริการที่แตกต่างกว่า  ทำให้รู้สึกว่าอาหารเช้านั้น  ฟินอ่า.....  มีอาคารเล็กๆซึ่งใช้เป็นห้องอาหารและครัว  โดยมีห้องขวางเป็นห้องอาหารอยู่ระหว่าอาคารเล็กๆกับตัวโรงแรม  ผมถามเจ้าของว่าทำไมต้องทำสูงลิ่วเท่ากับตึกสามชั้นแต่ใช้แค่ชั้นล่างชั้นเดียวทำเป็นครัวกับห้องอาหาร  ....คำตอบ... เพื่อความสวยงามตามคำแนะนำของ อ.เฉลิมชัย  อิอิ.....อ้อ โรงแรมนี้มีห้องพักแบบที่เป็นเต้นท์.
                โรงแรม ยู จอมเทียน    เป็นโรงแรมที่มีแค่ 66 ห้อง ตั้งอยู่ริมหาดจอมเทียน  การออกแบบแทนที่จะออกแบบเต็มพื้นที่เพื่อให้ได้ห้องพักมากที่สุด  กลับมีโถงตรงกลางเรียกได้ว่าเปิดประตูห้องมาจะเห็นเหมือนกันหมดคือโถงที่โล่งจากชั้นล่างขึ้นมาถึงชั้น 6  ทำให้รู้สึกโปร่งโล่งสบาย  เพราะถ้าออกแบบใช้งานเต็มพื้นที่น่าจะได้ห้องพักอีกไม่น้อยกว่า 30 ห้อง  ชั้นบนรูฟท้อปเป็นสระว่ายน้ำซึ่งคงไม่ค่อยมีคนว่ายเท่าใดแต่คงเป็นจุดถ่ายรูปและเช็คอินตอนพระอาทิตย์ตกดินเสียมากกว่า  ข้างๆสระเป็นบาร์เล็กๆแต่พนักงานเป็นกันเองทำให้รู้สึกผ่อนคลายพร้อมกับชมพระอาทิตย์ตกดินฟินไปสามวันเรยครับ    ตอนเช้านี่ซิครับอาหารเช้าเห็นคนรีวิวกันว่าอร้อยอร่อย  เรื่อมตั้งแต่การจัดเรียงอาหารเช้าแบบว่าไม่โหล แถมความหลากหลายเช่นเครื่องดื่มปกติทั่วไปจะมี น้ำส้ม น้ำฝรั่ง  2-3 อย่าง  แต่ที่นี่  8 อย่างครับมีทั้งไฟท์บังคับและเปลี่ยนแปลงไปตามวัน  ผลไม้ก็เช่นกัน 7-8 อย่างไม่ใช่สัปประรดกับแตงโม   มาถึงไข่ถ้าเป็นโรงแรมอื่นๆก็จะมีไข่ดาว ไข่คน  มากหน่อยก็ไข่ต้ม  แต่ที่นี่มีเมนูไข่ให้เลือก  ถ้าลวกแจ้งเรยว่ากี่นาที....เอ...ตรูจะรู้มะนี่ ก็ขอแบบมะตูมละกัน.....    สุดยอดไข่..ต้องไข่เบเนดิกซ์ไม่รู้ว่าอะไรเห็นว่าแปลกดีก็สั่งมา ไม่รู้ว่าเขาปรุงอย่างไรเป็นไข่วางอยู่บนแฮมและหนมปังก็เรียกได้ว่าฟินจนต้องมากินอีกในเช้าวันถัดไป  แต่เนื่องจากรอนานตอนออกไปวิ่งออกกำลังกายกลับมาเลยแจ้งว่าพี่จะลงมาทานอาหารเช้า 6.45 น. ช่วยทำให้พอดีเวลาด้วยนะครับ    โอ้ว...พระเจ้าจอร์จ...นั่งลงในห้องอาหาร  6.35  พอ 6.45 ไข่เบเนดิกซ์เสิรฟ์เรยครับพี่น้อง  โดยไม่ต้องถามว่าเราสั่งไว้หรือไม่เพราะพนักงานจดจำใบหน้าคนสั่งได้งั้ยครับท่าน.......
                บอกแล้วว่า  “เล็ก  .. กระทัดรัด ...  แต่มัดใจ !!!   ใครจะเอาไปปรับใช้ก็ไม่ว่ากันนะครับ.....

ขายรัย...ทำไมเราอิน (มาก)

                                                   เครดิตภาพจาก "เฟสบุคไทรสุก"           สองอาทิตย์ก่อนไปเห็นน้องคนหนึ่งที่เป็...