วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

เกา...แต่ไม่หายคัน





                แพคเกจของรัฐบาลในการแก้ไขเศรษฐกิจในภาวะวิกฤตโควิด-19    ที่ได้ออกมาหลายแพคเก็จซึ่งคงไม่กล่าวถึงในเรื่องการช่วยเหลือประชาชนที่ผ่านมาแล้ว  ที่นับได้ว่าแม้ความตั้งใจจะดีและเติมเงินเข้ากระเป๋าโดยตรงสำหรับผู้เดือดร้อน  แต่กระบวนการและการดำเนินการในเรื่องนี้มีจุดโหว่อยู่มากมาย  รวมทั้งอาจจะยังไม่ทั่วถึงและเป็นธรรมแต่ก็ถือว่าทำได้ดีในระดับหนึ่ง   วันที่ผมเขียนบทความนี้เงินที่จ่ายให้ประชาชนสามเดือนนั้นหมดไปแล้วจากนี้ไปนับตั้งแต่เดือน   สิงหาคมถึง ธันวาคม 2563  เราจะเห็นภาพของเศรษฐกิจตลอดจนการจ้างงานที่เป็นภาพที่แท้จริงมากยิ่งขึ้น  ซี่งทั้งสองส่วนนี้สัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ออก  เพราะหากเศรษฐกิจดีการจ้างงานก็จะดีตามมาด้วยอย่างแน่นอน   เพราะกิจการก็ต้องมีการผลิตเพิ่มขึ้น  ต้องมีการจ้างงาน  มีการจ่ายค่าล่วงเวลา ฯลฯ
                แต่มาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ออกกมาแม้จะเชื่อได้ว่าช่วยได้แต่ในมุมมองของผม   ซึ่งเป็นคนตัวเล็กๆคนหนึ่งในสังคมอาจจะมองกลับด้านกัน  และคิดว่ามาตราการเหล่านี้ยังมีช่องโหว่และ
 เกา.....แต่ไม่หายคัน
                กริยาก็บอกแล้ว่า “เกา”  ซึ่งก็คือการบรรเทาอาการชั่วคราว  ไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุ  ลองมาดูซัก 2 มาตราการที่        “เกา.........แต่ไม่หายคัน”
                1.สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) เพื่อดูแลภาคธุรกิจโดยเฉพาะ SME จำนวน 500,000 ล้านบาท  ซึ่งจัดเงินให้ทางธนาคารพานิชย์ไปปล่อยกู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ 3 เปอร์เซนต์  แต่นับถึงวันนี้เงินก้อนนี้ก็ใช้ยังไม่หมดเพราะว่าธนาคารพานิชย์เองก็ต้องรับผิดชอบในวงเงินที่ปล่อยออกไป  ซึ่งก็ต้องมีการวิเคราะห์หรืออย่างน้อยก็ต้องเชื่อได้ว่าหนี้ที่ปล่อยไปนั้นจะได้รับการชำระหนี้  มิเช่นนั้นก็จะกลายเป็นหนี้ที่ไม่เกิดรายได้จนกลายเป็นภาระผูกพันกับธนาคารเองในอนาคต   ดังนั้นบริษัทองค์กรที่จะได้เงินทุนก้อนนี้ก็คือบริษัที่ดีๆ ทั้งในแง่กิจการ ผู้บริหาร  ตัวสินค้าเองยังคงมีศักยภาพในตลาด ฯลฯ ซึ่งบริษัทเหล่านี้นั้นก็มีการปรับตัว  ลดค่าใช้จ่าย สร้างสินค้า / รายได้ใหม่ๆ  เข้ามาเพื่อให้องค์กรอยู่รอดอยู่แล้วแม้ได้รับผลกระทบมากน้อยต่างกัน  แต่ก็เชื่อได้ว่ายังอยู่ได้(อย่างลำบาก)   ในมุมกลับกันคือผู้ที่ไม่ได้รับสินเชื่อนี้ก็คือผู้ที่มีประวัติไม่ดีทางการเงินอยู่แล้ว  สินค้าไม่มีศักยภาพ คุณภาพผู้บริหาร  ความซื่อสัตย์ของผู้บริหาร ฯลฯ  เรียกได้ว่าไม่มีโควิดก็ร่อแร่  หรือ อยู่วันๆอยู่แล้ว  คำถามคือ ธนาคารจะปล่อยกู้ให้หรือไม่  คำตอบแบบไม่ต้องคิด  “ไม่ให้กู้ครับ”   แถมยังมีมาตราการซึ่งไม่รู้ว่าแบงค์ชาติหรือธนาคารพานิชย์เองเป็นผู้กำหนด  คือให้เงินสินเชื่อนี้เท่ากับวงเงินคงค้าง ณ. ธันวาคม  2563  เป็นจำนวน 20%  คือหมายความว่าถ้าหนี้คุณในวันนั้นเป็น  10 ล้านบาท  ก็จะได้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำเพียง 2 ล้านบาทเท่านั้นนั่นเอง  แปลว่า  “ไม่สนใจว่าจะเพียงพอต่อลมหายใจหรือไม่”  มีหน้าที่ให้กู้แต่ให้ได้แค่นี้แหละ.....เอวัง
                แล้วจะทำอย่างไร .....อย่าซักแต่พร่ำบ่น  ..... ต้องทำให้คนในประเทศมีเงินในกระเป๋า  เอาเงินทุนเหล่านี้มาจ้างงานในประเทศ  ซึ่งก็เห็นหลายกระทรวงทำอยู่แต่เป็นระยะสั้นๆ  3-6 เดือน และจำนวนคนไม่มากนัก  ก็คงไม่เกิดผลย้อนกลับมาที่เศรษฐกิจเสียเท่าใด   คงได้แค่เหมือนมาตราการแจกเงิน 3 เดือนๆละ 5,000 บาทนั่นแหละ    
                2.มาตราการ “เราเที่ยวด้วยกัน” วงเงิน  20,000 ล้านบาท  ก็ยังมีช่องว่างและคิดว่ายังมีจุดอ่อนคือ  ต้องลงทะเบียน  เมื่อได้มาแล้วก็ต้องไปจองโรงแรมและจ่ายเงินส่วนของตนเองและส่วนของรัฐจัดให้นั้นทางโรงแรมจะไปเรียกเก็บจากรัฐในภายหลัง   แล้วราคาที่โรงแรมตั้งนั้นก็ไม่ได้ถูกจริงๆและจูงใจจนอยากไปพักจริงๆ  แน่จริงเอาราคาแบบ ลด 50 เปอร์เซนต์แล้วรัฐอออกให้อีก 40 เปอร์เซนต์ ดังนั้น โรงแรมเคยคืนละ 6,000 บาท ลดปกติเหลือ 3,000 บาท รัฐออกให้ 1,200 เหลือเราจ่ายเอง  1,800 ถ้าอย่างนี้รับรองเว็บล่มแน่ๆ   เรียกว่าคืนละหมื่นเหลือ สามพันรับประกันจองกันตรึมดูได้จากตัวอย่างข้างล่างนี้   แถมจองแล้วเปลี่ยนวันได้หรือเปล่าถ้าติดธุระหรือไปไม่ได้ละ??  มันไม่ชัดเจน  ....
                                เร็วๆนี้มีโรงแรมระดับ 5 ดาว เค้าปรับตัวเปิดโปรแรงจริงๆ คืนละ 1,000 บาท คือโรงแรม เอธินีและ มาริออท  สุริวงษ์ (ในเครือไทยเบฟของเสี่ยเจริญ)    ปรากกฏว่าจองกันอย่างล้นหลามแสดงว่า คนมีเงินนั้นยังมีอยู่(พอประมาณที่พร้อมจะจับจ่ายใช้สอย)  ขอให้สินค้า และ ราคาโดนใจ แบบแรงๆๆ    หรือ รร.ลาฟลอร่าเขาหลัก  3 วันสองคือน 5,000 บาท รวม สปา 90 นาที /ดื่มไม่อั้น 2 ชั่วโมง / อาหารเช้า/ สองคน   หรือเอาใกล้ๆ  รร.เฮลท์แลนด์รีสอร์ทพัทยา ออกโปรที่เรียกว่าผมต้องซื้อเลยแม้จะไปเมื่อใดยังไม่รู้คือ  คูปองคืนละ 1,600 บาท แต่ได้  อาหารเช้า 500 / นวดไทย 2 ชม. 600 บาท / ที่สำคัญ สินค้าสปา พวก ครีมอาบน้ำ  โลชั่น ฯลฯ มูลค่า 2,290 บาท  แถมคูปองไม่มีหมดอายุเสียอีก  อดใจไม่ได้จัดไปสองคืน
                                เรื่องการท่องเที่ยวนั้นในภาวะอย่างนี้ ต้องกระตุ้นที่  “คนมีตัง(พอประมาณ)”  และจูงใจด้วยการโปรที่แรงๆ  เพราะธุรกิจบริการไม่ใช้มันหายไป  โรงแรมไม่มีคนพักเอามาลดแบบว่าไม่ไปไม่ได้ดังตัวอย่างข้างต้นรับรองมาแน่ๆ    และ...........รัฐบาลกระตุ้นด้วยการให้เอาค่าใช้จ่ายนี้มา   “เป็นคูปองแทนภาษีที่ต้องจ่าย” ตอนปลายปี ..........หรือถ้าเป็นบริษัทก็เอายอดค่าใช้จ่ายเหล่าหนี้มาหักเป็นเครดิต  “ภาษีนิติบุคคล”  แต่บริษัทคงเหลือไม่กี่บริษัทที่จะทำอย่างนั้นได้
                                บางคนอาจจะแย้งได้ว่า “อ้าวแล้วรัฐก็เก็บภาษีได้น้อยลง”   ถูกต้องครับ  แต่ก็เหมือนกับเงินที่รัฐเอามาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ   คือยอมไปลดรายได้   แทนที่จะเพิ่มรายจ่าย (กู้เงินมากระตุ้นเศรษฐกิจ) แทนนั่นเอง
                หรืออีกแนวทางหนึ่ง  ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดกิจกรรมของจังหวัด ฯลฯ  เอาศิลปินดารา ที่ตอนนี้ก็ใส้แห้ง  เดิมค่าจ้าง 2 แสน ลดเหลือ 3 หมื่นได้หรือไม่  ฯลฯ  พอคนดัง ดารา  นักกีฬา  ฯลฯมา  ก็จะดึงคนออกมาร่วมกิจกรรม  และจับจ่ายใช้สอยกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก  เศรษฐกิจในท้องถิ่น ไปได้นั่นเอง
                เรียกได้ว่า “ความบันเทิง” ทำให้เราหลงลืมไปว่าเงินมีน้อย  ใช้สอยอย่างประหยัด นั่นเอง...####

               

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ขายรัย...ทำไมเราอิน (มาก)

                                                   เครดิตภาพจาก "เฟสบุคไทรสุก"           สองอาทิตย์ก่อนไปเห็นน้องคนหนึ่งที่เป็...