วันอังคารที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2563

รู้แล้วแต่ยังไม่หมด!

 ZENSE จับมือ ELEVEN SPORTS ถือลิขสิทธิ์ถ่ายทอดฟุตบอลไทย 8 ปี ทั้งลีกอาชีพ,  ทีมชาติทุกชุด



                 การเข้ามาเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ของบริษัทเซนส์เอ็นเตอร์เทนเมนท์นั้นเรียกได้ว่าทำให้คนในวงการฟุตบอล วงการทีวี และบันเทิงต้องตั้งคำถามว่า   อะไรทำให้คุณเอหาญกล้าลงทุนถึงปีละ 1,500 ล้านบาท  8 ปี ก็ 12,000 ล้านบาท แล้วจะมีกำไรได้อย่างไร     คุณเอ วราวุธ  เจนธนากุล  ซึ่งหลายคนคงคิดว่าเป็นพิธีกร และ เจ้าของบริษัทเซนส์ฯ  ที่ประสบความสำเร็จเป็นอยจ่างสูงเรียกได้ว่าเป็นเจ้าพ่อเกมส์โชว์คนหนึ่งเลยที่ดียว  แม้อายุบริษัทจะเพียงแค่ 10 ปี โดยก่อตั้งในปี  2553   คนเรยคิดว่าคุณเอนั้นเติบโตมาทางสายบันเทิง     แต่ด้วยประสบการณ์ทางการเงิน  คงได้คำนวนความเป็นไปได้ของโครงการนี้และมีคำตอบที่ชัดเจนอยู่แล้ว  เพราะ เป็นนักวิเคราห์การเงิน  แผนการลงทุน ตั้งแต่ 2541-2547 จนมาเป็น ผจก.ฝ่ายตราสารหนี้ ของ เมอร์ริลลินซ์ภัทรในปี 2547   เติบโตมาทางสายบันเทิง แต่ด้วยประสบการณ์ทางการเงิน  คงได้คำนวนความเป็นไปได้ของโครงการนี้และมีคำตอบที่ชัดเจนอยู่แล้ว   ซึ่งฟุตบอลไทยจะเปลี่ยนไป โดยจะมีรายการตลอด 24 ชม ทั้ง 365 วัน 

                โดยที่ฐานคนดูของเซนส์ฯ เบื้องต้นคือ  สมาชิกในยูทูป 6.6 ล้าน  ยอดวิวที่ผ่านมา 3,600 ล้านวิว   เฟสบุค 7.8 ล้าน ยอดไลค์ 3.6 ล้าน  อย่าลืมว่าลิขสิทธิ์ในสัญญานี้คือลิขสิทธ์ในทุกลีกของสมาคม รวมทั้งอีสปอร์ตที่โตวันโตคืน  แถมลูกค้าเป้าหมายคือเยาวชน  คนรุ่นใหม่  ที่มุ่งไปทาง SPORTAINMENT  ที่จะสร้างฐานคนดูฟุตบอลใหม่ๆ      สปอร์ตเทนเมนท์  กีฬามาผสมผสานกับความบันเทิง   “ชอบมากขึ้น  เชียร์มากขึ้น  เหนือชั้นทุกขอบสนาม”   โดยจะนำเสนอในทุกแพลทฟอร์มและมีรายการอื่นๆเพิ่มเติมดังนี้

1.ถ่ายทอดมิใช่แต่ทางฟรีทีวิ  ดิจิตอลเท่านั้น   ยังรวมถึง แพลทฟอร์ม  OTT   ออนไลน์  ทุกช่องทางทั้งในและต่างประเทศ

2.มีสถิติ ประวัติ รวมทั้ง ข้อมูลประกอบการรับชม แบบพรีเมียลีก  เพื่อเพิ่มอรรถรสและความน่าติดตาม แตกต่างจากการชมฟุตบอลแบบเดิมๆที่เราคุ้นเคย

3.รายการ  เดอะลีก ให้แฟนคลับของแต่ละทีม ร่วมแข่งขันความเป็นแฟนคลับหรือกิจกรรมอื่นๆระหว่างเกมส์ในสนามที่แข่งขันกันไป  ชิงรางวัลถึง 1 ล้านบาท  แล้วแฟนนานุแฟนจะไม่เข้ามาร่วมเล่นได้อย่างไร

4.รายการ  “เตะสู้ฟัน”  เป็นเวทีให้นักกีฬามาแข่งขันทักษะแล้วได้รางวัลใช้หนี้  และแน่นอนต้องมีนักฟุตบอลของสโมสรนั้นมาร่วมกิจกรรมด้วย  พร้อมทั้งชุมชนเพื่อเป็นการเพิ่มฐานคนดูและแฟนคลับในอนาคต

5.รายการ “ซุปตาร์กล้าเตะ”  ให้ดารา  ซีเล็บ  40 คน มาเข้าสู่ REALITY GAME คัดเลือกให้เป็นนักฟุตบอล 22 คน  ที่จะมีโอกาสเข้าร่วมแข่งขันกับทีมใน ลีกวัน  ทีมรวมไทยลีก หรือ ทีมชาติ

6.รายการ “หนึ่งวันถ้าฉันได้เป็น”   ก็จะเอานักฟุตบอลที่ฝันจะทำงานในอาชีพอื่น ไม่ว่าจะเป็น นักร้อง เชฟ  ฯลฯ

7.รายการ “สตาร์สปอร์ต”  จะเอานักข่าวย ยูทูบเบอร์ นักพากษ์  นักร้อง มาปฏิบัติการเป็นอินฟลูเอนเซอร์ของวงการกีฬาฟุตบอล   

8.”รักชนะใจ” ซีรีย์วายสไตล์สปอร์ต    ที่จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจ และเจาะฐานคนดูใหม่ๆที่เป็นเยาวชนให้รักกีฬาผ่านซีรียส์

นี่เป็นแค่รายการ  กิจกรรม  ที่เรียกน้ำย่อย (เฉพาะที่เปิดเผยได้)  ให้กับแฟนบอลและเยาวชนคนรุ่นใหม่ได้ในเบื้องต้น  แต่เชื่อได้ว่า เซนส์  และ อีเลฟเว่นสปอร์ต  คงมีอะไรมาดูดเงินในประเป๋าเราได้อีกให้คุ้มกับ  12,000 ล้านที่เสียไปอย่างแน่นอน

 

วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2563

คนละครึ่ง...ถึงใจประชาชน

ร้านไหนก็จ่ายแค่ “คนละครึ่ง” รวมร้านค้า-ร้านอาหารลดให้ 50%

 


            นับได้ว่าโครงการนี้เป็นโครงการเดียวที่รัฐออกมาในช่วงโควิดแล้วผมเห็นด้วยมากที่สุด....  ต้องขอชมทีมงานที่คิดโครงการ  ซึ่งทราบมาว่าได้โดนอัปเปหิออกจารัฐบาลไปเรียบร้อยโรงเรียนลุงแล้ว     การจัดโครงการในลักษณะนี้มิใช่แค่แจกเงินแบบโครงการอื่นๆ   เพราะมีการดึงเอาเม็ดเงินของคนที่มีกำลังซื้อให้ออกเงินครึ่งหนึ่ง   ที่สำคัญไปกว่านั้นร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการนั้นเป็นร้านเล็กๆ   ห้องแถว  รถเข็น แผงลอย  หรือแม้แต่บุคคลก็สามารถเข้าร่วมได้  และยังไม่รับร้านสะดวกซื้อ  โมเดินเทรด หรือ ห้างสรรพสินค้าเข้าร่วมโครงการอีกด้วย

            ในตอนแรกก็ดูๆว่าจะไม่เข้าท่าเพราะมีร้านค้าเข้าร่วมโครงการแค่  60,000 กว่าร้านเท่านั้นเอง  แต่ด้วยกลไกลของและความเสียสละของพนักงานธนาคารกรุงไทย  ได้ทำการตลาดเชิงรุกจากเดิมที่รอให้ร้านค้ามาขอสมัครเข้าโครงการ   ก็เป็นการออกไปพบและชวนร้านค้าที่อยู่ในละแวกสาขานั้นๆได้เข้าร่วมโครงการ  ทำให้มีร้านค้าเพิ่มขึ้นเป็นลำดับทำให้ ณ. ปลายเดือน พฤศจิกายน มีร้านค้าเข้าร่วมถึง 700,000 ร้านเศษ   โดยอยู่ใน กรุงเทพมหานคร  ถึง  92,000 ร้าน    หากใครไปที่ตลาด อตก. แทบทุกร้านจะรับ “คนละครึ่ง”  ตลาดใหญ่ในกทม.ก็มีร้านค้ารับอยู่เกินครึ่งตลาด   และมีอีกหลายจังหวัดที่มีร้านค้าเข้าร่วมเกิน 10,000 ร้าน ไม่ว่าจะเป็น เชียงใหม่  เชียงราย  ขอนแก่น  ภูเก็ต  นครศรีธรรมราช  ฯลฯ   ซึ่งจำนวนร้านค้าเชื่อได้ว่าคงจะเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ    เพราะจากการสอบถามร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการนั้นต่างบอกว่าขายดีเพิ่มขึ้นเป็นการเติมเม็ดเงินในกระเป๋าของรายย่อย และ ชาวบ้านร้านตลาดได้โดยตรง  แถมงานนี้ไม่เหมือนโครงการอื่นๆที่รัฐทำเพราะเอาไอศครีมใส่ปากประชาชนผู้เดือดร้อนโดยตรง   ไม่ละลายหายไประหว่างทางเพราะใช้เทคโนโลยี่เข้าช่วยในการบริหารจัดการโดยตรง   แถมเม็ดเงินที่ใส่ไป  150 บาทต่อวัน   ก็ทำให้เกิดกำลังซื้อมากกว่า 300 บาทต่อวันต่อคน  (บางคนอาจจะซื้อเกิน  300 แต่ส่วนเกินนั้นจ่ายเงินเพิ่มเอง)   เพราะคงไม่มีใครสามารถซื้อสินค้าได้ในราคา 300 บาทพอดีได้ทุกวัน    แถมการให้โควต้าวันละ 150 บาทก็เป็นการสกัดการทุจริตโดยความร่วมมือของร้านค้าและประชาชนที่เข้าร่วมโครงการได้   เพราะมันจะเป็นธุรกรรมซ้ำๆ  ร้านเดิมๆ  ยอดเดิมๆ  ซึ่ง AI  มันสามารถตรวจสอบพบได้  ซึ่งหากคิดตัวเลขแบบกลมๆ  เม็ดเงินที่รัฐใส่เข้าไป 52,500 ล้านบาทนี้  ประชาชนซื้อของใส่ลงไปอีก  52,500 ล้านบาท รวมแล้ว   105,000 ล้านบาท   จะเกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจไม่น้อยกว่า  5 แสนล้านบาทและเป็นการหมุนจริงๆไม่ใช่เม็ดเงินบางส่วนตกอยู่กับ นักการเมืองและข้าราชการ  เหมือนไอศครีมถูกดูดระหว่างทางนั่นเอง

            แต่ก็มีข้อสังเกตุหากสามารถปรับได้ก็น่าจะช่วยให้โครงการประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น   ซึ่งต้องตั้งงบประมาณโดยรวมว่าจะมีงบเท่าใด  สมมุติว่า 52,500 ล้านบาท ซึ่งเท่ากับงบที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน    แต่แบ่งประชาชนที่เข้าร่วมโครงการเป็นสองประเภท  และให้สิทธิประโยชน์ที่แตกต่างกันตามฐานเงิน      ประเภทแรกคือประชาชนทั่วไปที่มีเงินฝากในบัญชีทุกบัญชีรวมกันมากกว่า  100,000 บาท (หรือมากกว่านี้  ขึ้นอยู่กับฐานข้อมูลของรัฐ)    โดยประชาชนกลุ่มนี้รัฐออกให้  25 เปอร์เซนต์แบบที่ให้ในปัจจุบัน   เพราะถือว่าเป็นคนที่ยังพอช่วยตัวเองได้      กับประเภทที่สองคือผู้ที่มีเงินฝากในบัญชีน้อยกว่า...100,000 บาท  กลุ่มนี้ให้  50%  เหมือนเดิม   และเพิ่มวงเงินให้เป็น  5,000 บาท   แต่ว่าไม่จำกัดจำนวนคนที่เข้าร่วมโครงการแต่ต้องสมัครเข้าร่วมโครงการตามเวลาที่กำหนด    สมมุติว่ามีคนสมัครเข้าร่วม   10 ล้านคน  คนละ 5,000 บาท ก็ใช้งบ 50,000  ล้านบาท ยังเหลืองบประมาณอีก   2,500 ล้านบาทก็ค่อยมาให้กับผู้ที่มีเงินฝากรวมกันเกินกว่า 1 แสนบาท  โดยกำหนดโควต้าให้คนละ   2,000 บาท   ก็จะได้อีก 1,250,000   ล้านคน  เป็นการช่วยเหลือคนที่มีเงินน้อยกว่าให้มีกำลังซื้อจับจ่ายใช้สอยได้มากขึ้น   ส่วนคนที่มีรายได้/เงินเก็บมากกว่าก็ได้รับเงินช่วยสนับสนุนน้อยกว่า  

            และเร่งให้ธนาคารกรุงไทยปฏิบัติการเชิงรุกมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะจังหวัดที่มีร้านค้าเข้าร่วมน้อยมาก  1-2 พันร้านค้าให้เข้าร่วม   เพราะจากนี้ไปแอปเป๋าตัง และ ฐานข้อมูลร้านค้า ผู้ประกอบการก็จะมีอยู่ในมือของรัฐเพื่อเป็นฐานข้อมูลในโครงการอื่นๆ  ที่จะสรรหามาเพื่อลดช่องว่าของประชาชน  สามารถช่วยเหลือได้ตรงจุด  ตรงวัตถุดประสงค์  แถมเงินทองไม่รั่วไหลได้ง่ายๆอีกด้วย  เรียกได้ว่าโครงกานี้นับเป็นโบว์แดงสุดๆของลุงตู่ในรอบ  7 ปี เรยทีเดียวเชียวนะ ....จะบอกให้ .....

 

ขายรัย...ทำไมเราอิน (มาก)

                                                   เครดิตภาพจาก "เฟสบุคไทรสุก"           สองอาทิตย์ก่อนไปเห็นน้องคนหนึ่งที่เป็...