วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2563

คนละครึ่ง...ถึงใจประชาชน

ร้านไหนก็จ่ายแค่ “คนละครึ่ง” รวมร้านค้า-ร้านอาหารลดให้ 50%

 


            นับได้ว่าโครงการนี้เป็นโครงการเดียวที่รัฐออกมาในช่วงโควิดแล้วผมเห็นด้วยมากที่สุด....  ต้องขอชมทีมงานที่คิดโครงการ  ซึ่งทราบมาว่าได้โดนอัปเปหิออกจารัฐบาลไปเรียบร้อยโรงเรียนลุงแล้ว     การจัดโครงการในลักษณะนี้มิใช่แค่แจกเงินแบบโครงการอื่นๆ   เพราะมีการดึงเอาเม็ดเงินของคนที่มีกำลังซื้อให้ออกเงินครึ่งหนึ่ง   ที่สำคัญไปกว่านั้นร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการนั้นเป็นร้านเล็กๆ   ห้องแถว  รถเข็น แผงลอย  หรือแม้แต่บุคคลก็สามารถเข้าร่วมได้  และยังไม่รับร้านสะดวกซื้อ  โมเดินเทรด หรือ ห้างสรรพสินค้าเข้าร่วมโครงการอีกด้วย

            ในตอนแรกก็ดูๆว่าจะไม่เข้าท่าเพราะมีร้านค้าเข้าร่วมโครงการแค่  60,000 กว่าร้านเท่านั้นเอง  แต่ด้วยกลไกลของและความเสียสละของพนักงานธนาคารกรุงไทย  ได้ทำการตลาดเชิงรุกจากเดิมที่รอให้ร้านค้ามาขอสมัครเข้าโครงการ   ก็เป็นการออกไปพบและชวนร้านค้าที่อยู่ในละแวกสาขานั้นๆได้เข้าร่วมโครงการ  ทำให้มีร้านค้าเพิ่มขึ้นเป็นลำดับทำให้ ณ. ปลายเดือน พฤศจิกายน มีร้านค้าเข้าร่วมถึง 700,000 ร้านเศษ   โดยอยู่ใน กรุงเทพมหานคร  ถึง  92,000 ร้าน    หากใครไปที่ตลาด อตก. แทบทุกร้านจะรับ “คนละครึ่ง”  ตลาดใหญ่ในกทม.ก็มีร้านค้ารับอยู่เกินครึ่งตลาด   และมีอีกหลายจังหวัดที่มีร้านค้าเข้าร่วมเกิน 10,000 ร้าน ไม่ว่าจะเป็น เชียงใหม่  เชียงราย  ขอนแก่น  ภูเก็ต  นครศรีธรรมราช  ฯลฯ   ซึ่งจำนวนร้านค้าเชื่อได้ว่าคงจะเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ    เพราะจากการสอบถามร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการนั้นต่างบอกว่าขายดีเพิ่มขึ้นเป็นการเติมเม็ดเงินในกระเป๋าของรายย่อย และ ชาวบ้านร้านตลาดได้โดยตรง  แถมงานนี้ไม่เหมือนโครงการอื่นๆที่รัฐทำเพราะเอาไอศครีมใส่ปากประชาชนผู้เดือดร้อนโดยตรง   ไม่ละลายหายไประหว่างทางเพราะใช้เทคโนโลยี่เข้าช่วยในการบริหารจัดการโดยตรง   แถมเม็ดเงินที่ใส่ไป  150 บาทต่อวัน   ก็ทำให้เกิดกำลังซื้อมากกว่า 300 บาทต่อวันต่อคน  (บางคนอาจจะซื้อเกิน  300 แต่ส่วนเกินนั้นจ่ายเงินเพิ่มเอง)   เพราะคงไม่มีใครสามารถซื้อสินค้าได้ในราคา 300 บาทพอดีได้ทุกวัน    แถมการให้โควต้าวันละ 150 บาทก็เป็นการสกัดการทุจริตโดยความร่วมมือของร้านค้าและประชาชนที่เข้าร่วมโครงการได้   เพราะมันจะเป็นธุรกรรมซ้ำๆ  ร้านเดิมๆ  ยอดเดิมๆ  ซึ่ง AI  มันสามารถตรวจสอบพบได้  ซึ่งหากคิดตัวเลขแบบกลมๆ  เม็ดเงินที่รัฐใส่เข้าไป 52,500 ล้านบาทนี้  ประชาชนซื้อของใส่ลงไปอีก  52,500 ล้านบาท รวมแล้ว   105,000 ล้านบาท   จะเกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจไม่น้อยกว่า  5 แสนล้านบาทและเป็นการหมุนจริงๆไม่ใช่เม็ดเงินบางส่วนตกอยู่กับ นักการเมืองและข้าราชการ  เหมือนไอศครีมถูกดูดระหว่างทางนั่นเอง

            แต่ก็มีข้อสังเกตุหากสามารถปรับได้ก็น่าจะช่วยให้โครงการประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น   ซึ่งต้องตั้งงบประมาณโดยรวมว่าจะมีงบเท่าใด  สมมุติว่า 52,500 ล้านบาท ซึ่งเท่ากับงบที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน    แต่แบ่งประชาชนที่เข้าร่วมโครงการเป็นสองประเภท  และให้สิทธิประโยชน์ที่แตกต่างกันตามฐานเงิน      ประเภทแรกคือประชาชนทั่วไปที่มีเงินฝากในบัญชีทุกบัญชีรวมกันมากกว่า  100,000 บาท (หรือมากกว่านี้  ขึ้นอยู่กับฐานข้อมูลของรัฐ)    โดยประชาชนกลุ่มนี้รัฐออกให้  25 เปอร์เซนต์แบบที่ให้ในปัจจุบัน   เพราะถือว่าเป็นคนที่ยังพอช่วยตัวเองได้      กับประเภทที่สองคือผู้ที่มีเงินฝากในบัญชีน้อยกว่า...100,000 บาท  กลุ่มนี้ให้  50%  เหมือนเดิม   และเพิ่มวงเงินให้เป็น  5,000 บาท   แต่ว่าไม่จำกัดจำนวนคนที่เข้าร่วมโครงการแต่ต้องสมัครเข้าร่วมโครงการตามเวลาที่กำหนด    สมมุติว่ามีคนสมัครเข้าร่วม   10 ล้านคน  คนละ 5,000 บาท ก็ใช้งบ 50,000  ล้านบาท ยังเหลืองบประมาณอีก   2,500 ล้านบาทก็ค่อยมาให้กับผู้ที่มีเงินฝากรวมกันเกินกว่า 1 แสนบาท  โดยกำหนดโควต้าให้คนละ   2,000 บาท   ก็จะได้อีก 1,250,000   ล้านคน  เป็นการช่วยเหลือคนที่มีเงินน้อยกว่าให้มีกำลังซื้อจับจ่ายใช้สอยได้มากขึ้น   ส่วนคนที่มีรายได้/เงินเก็บมากกว่าก็ได้รับเงินช่วยสนับสนุนน้อยกว่า  

            และเร่งให้ธนาคารกรุงไทยปฏิบัติการเชิงรุกมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะจังหวัดที่มีร้านค้าเข้าร่วมน้อยมาก  1-2 พันร้านค้าให้เข้าร่วม   เพราะจากนี้ไปแอปเป๋าตัง และ ฐานข้อมูลร้านค้า ผู้ประกอบการก็จะมีอยู่ในมือของรัฐเพื่อเป็นฐานข้อมูลในโครงการอื่นๆ  ที่จะสรรหามาเพื่อลดช่องว่าของประชาชน  สามารถช่วยเหลือได้ตรงจุด  ตรงวัตถุดประสงค์  แถมเงินทองไม่รั่วไหลได้ง่ายๆอีกด้วย  เรียกได้ว่าโครงกานี้นับเป็นโบว์แดงสุดๆของลุงตู่ในรอบ  7 ปี เรยทีเดียวเชียวนะ ....จะบอกให้ .....

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ขายรัย...ทำไมเราอิน (มาก)

                                                   เครดิตภาพจาก "เฟสบุคไทรสุก"           สองอาทิตย์ก่อนไปเห็นน้องคนหนึ่งที่เป็...