นับได้ว่าโครงการนี้เป็นโครงการเดียวที่รัฐออกมาในช่วงโควิดแล้วผมเห็นด้วยมากที่สุด.... ต้องขอชมทีมงานที่คิดโครงการ ซึ่งทราบมาว่าได้โดนอัปเปหิออกจารัฐบาลไปเรียบร้อยโรงเรียนลุงแล้ว การจัดโครงการในลักษณะนี้มิใช่แค่แจกเงินแบบโครงการอื่นๆ เพราะมีการดึงเอาเม็ดเงินของคนที่มีกำลังซื้อให้ออกเงินครึ่งหนึ่ง ที่สำคัญไปกว่านั้นร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการนั้นเป็นร้านเล็กๆ ห้องแถว รถเข็น แผงลอย หรือแม้แต่บุคคลก็สามารถเข้าร่วมได้ และยังไม่รับร้านสะดวกซื้อ โมเดินเทรด หรือ ห้างสรรพสินค้าเข้าร่วมโครงการอีกด้วย
ในตอนแรกก็ดูๆว่าจะไม่เข้าท่าเพราะมีร้านค้าเข้าร่วมโครงการแค่ 60,000 กว่าร้านเท่านั้นเอง แต่ด้วยกลไกลของและความเสียสละของพนักงานธนาคารกรุงไทย ได้ทำการตลาดเชิงรุกจากเดิมที่รอให้ร้านค้ามาขอสมัครเข้าโครงการ ก็เป็นการออกไปพบและชวนร้านค้าที่อยู่ในละแวกสาขานั้นๆได้เข้าร่วมโครงการ ทำให้มีร้านค้าเพิ่มขึ้นเป็นลำดับทำให้ ณ. ปลายเดือน พฤศจิกายน มีร้านค้าเข้าร่วมถึง 700,000 ร้านเศษ โดยอยู่ใน กรุงเทพมหานคร ถึง 92,000 ร้าน หากใครไปที่ตลาด อตก. แทบทุกร้านจะรับ “คนละครึ่ง” ตลาดใหญ่ในกทม.ก็มีร้านค้ารับอยู่เกินครึ่งตลาด และมีอีกหลายจังหวัดที่มีร้านค้าเข้าร่วมเกิน 10,000 ร้าน ไม่ว่าจะเป็น เชียงใหม่ เชียงราย ขอนแก่น ภูเก็ต นครศรีธรรมราช ฯลฯ ซึ่งจำนวนร้านค้าเชื่อได้ว่าคงจะเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ เพราะจากการสอบถามร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการนั้นต่างบอกว่าขายดีเพิ่มขึ้นเป็นการเติมเม็ดเงินในกระเป๋าของรายย่อย และ ชาวบ้านร้านตลาดได้โดยตรง แถมงานนี้ไม่เหมือนโครงการอื่นๆที่รัฐทำเพราะเอาไอศครีมใส่ปากประชาชนผู้เดือดร้อนโดยตรง ไม่ละลายหายไประหว่างทางเพราะใช้เทคโนโลยี่เข้าช่วยในการบริหารจัดการโดยตรง แถมเม็ดเงินที่ใส่ไป 150 บาทต่อวัน ก็ทำให้เกิดกำลังซื้อมากกว่า 300 บาทต่อวันต่อคน (บางคนอาจจะซื้อเกิน 300 แต่ส่วนเกินนั้นจ่ายเงินเพิ่มเอง) เพราะคงไม่มีใครสามารถซื้อสินค้าได้ในราคา 300 บาทพอดีได้ทุกวัน แถมการให้โควต้าวันละ 150 บาทก็เป็นการสกัดการทุจริตโดยความร่วมมือของร้านค้าและประชาชนที่เข้าร่วมโครงการได้ เพราะมันจะเป็นธุรกรรมซ้ำๆ ร้านเดิมๆ ยอดเดิมๆ ซึ่ง AI มันสามารถตรวจสอบพบได้ ซึ่งหากคิดตัวเลขแบบกลมๆ เม็ดเงินที่รัฐใส่เข้าไป 52,500 ล้านบาทนี้ ประชาชนซื้อของใส่ลงไปอีก 52,500 ล้านบาท รวมแล้ว 105,000 ล้านบาท จะเกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจไม่น้อยกว่า 5 แสนล้านบาทและเป็นการหมุนจริงๆไม่ใช่เม็ดเงินบางส่วนตกอยู่กับ นักการเมืองและข้าราชการ เหมือนไอศครีมถูกดูดระหว่างทางนั่นเอง
แต่ก็มีข้อสังเกตุหากสามารถปรับได้ก็น่าจะช่วยให้โครงการประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น ซึ่งต้องตั้งงบประมาณโดยรวมว่าจะมีงบเท่าใด สมมุติว่า 52,500 ล้านบาท ซึ่งเท่ากับงบที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน แต่แบ่งประชาชนที่เข้าร่วมโครงการเป็นสองประเภท และให้สิทธิประโยชน์ที่แตกต่างกันตามฐานเงิน ประเภทแรกคือประชาชนทั่วไปที่มีเงินฝากในบัญชีทุกบัญชีรวมกันมากกว่า 100,000 บาท (หรือมากกว่านี้ ขึ้นอยู่กับฐานข้อมูลของรัฐ) โดยประชาชนกลุ่มนี้รัฐออกให้ 25 เปอร์เซนต์แบบที่ให้ในปัจจุบัน เพราะถือว่าเป็นคนที่ยังพอช่วยตัวเองได้ กับประเภทที่สองคือผู้ที่มีเงินฝากในบัญชีน้อยกว่า...100,000 บาท กลุ่มนี้ให้ 50% เหมือนเดิม และเพิ่มวงเงินให้เป็น 5,000 บาท แต่ว่าไม่จำกัดจำนวนคนที่เข้าร่วมโครงการแต่ต้องสมัครเข้าร่วมโครงการตามเวลาที่กำหนด สมมุติว่ามีคนสมัครเข้าร่วม 10 ล้านคน คนละ 5,000 บาท ก็ใช้งบ 50,000 ล้านบาท ยังเหลืองบประมาณอีก 2,500 ล้านบาทก็ค่อยมาให้กับผู้ที่มีเงินฝากรวมกันเกินกว่า 1 แสนบาท โดยกำหนดโควต้าให้คนละ 2,000 บาท ก็จะได้อีก 1,250,000 ล้านคน เป็นการช่วยเหลือคนที่มีเงินน้อยกว่าให้มีกำลังซื้อจับจ่ายใช้สอยได้มากขึ้น ส่วนคนที่มีรายได้/เงินเก็บมากกว่าก็ได้รับเงินช่วยสนับสนุนน้อยกว่า
และเร่งให้ธนาคารกรุงไทยปฏิบัติการเชิงรุกมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะจังหวัดที่มีร้านค้าเข้าร่วมน้อยมาก 1-2 พันร้านค้าให้เข้าร่วม เพราะจากนี้ไปแอปเป๋าตัง และ ฐานข้อมูลร้านค้า ผู้ประกอบการก็จะมีอยู่ในมือของรัฐเพื่อเป็นฐานข้อมูลในโครงการอื่นๆ ที่จะสรรหามาเพื่อลดช่องว่าของประชาชน สามารถช่วยเหลือได้ตรงจุด ตรงวัตถุดประสงค์ แถมเงินทองไม่รั่วไหลได้ง่ายๆอีกด้วย เรียกได้ว่าโครงกานี้นับเป็นโบว์แดงสุดๆของลุงตู่ในรอบ 7 ปี เรยทีเดียวเชียวนะ ....จะบอกให้ .....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น