ข่าวเล็กๆในไทยรัฐ เมื่อ 10 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมาที่แทบจะไม่ค่อยมีคนสนใจเท่าใดข่าวหนึ่ง คือ "เหงียน ซวน ฟุก" นายกรัฐมนตรีเวียดนาม ส่งของขวัญวันตรุษจีน ถึงมือของ "ปาร์ค ฮังซอ" กุนซือทีมฟุตบอลทัพดาวทอง หวังให้โค้ชอยู่ยาว ช่วยทีมชาติเวียดนามต่อ
ข่าวนี้ดูเหมือนไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจในมุมมองของการกีฬามากเท่าใดนัก แต่ในมุมมองของการเป็นผู้นำแล้วผมคิดว่า มันเป็นสิ่งทีอยู่ในตำราหรือในคุณสมบัติที่ผู้นำควรมีนั่นก็คือ การจูงใจและสร้างแรงบันดาลใจแก่บุคคล (Motivating and Inspiring People) การกระทำของนายกรัฐมนตรีเวียดนามนี้เป็นการเข้าถึงในสองด้าน ด้านแรกคือการเข้าถึงหัวใจของชาวเวียดนามที่คลั่งใคล้ฟุตบอล ซึ่งนับแต่โค้ชชาวเกาหลีคนนี้มาทีมชาติเวียดนามประสบความสำเร็จในหลายๆมิติ พร้อมทั้งโค้ชได้ตั้งเป้าหมาย สำคัญคือ เข้ารอบ 12 ทีมสุดท้ายฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก, คว้าแชมป์ซีเกมส์ และป้องกันแชมป์ เอเอฟเอฟ อาเซียน คัพ 2020 ส่วนอีกด้านหนึ่งก็เข้าถึงหัวใจของโค้ชเพราะว่ามีทั้งทีมชาติเกาหลี และ ทีมในเควันของเกาหลีจ้องจะฉกตัวไปทำทีมเพราะว่าโค้ชยังมีสัญญากับทางเวียดนามอีก 1 ปี
การกระทำนี้แม้มูลค่าของสิ่งของที่มอบให้นั้นอาจจะไม่มากมายนัก แต่นับว่าได้ใจของโค้ชไปเต็มๆเพราะว่า ขนาดนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้นำของประเทศยังเห็นความสำคัญของโค้ชคนนี้ แน่นอนว่าค่าตอบแทนหากโค้ชฉีกสัญญาและไปทำทีมให้ทีมชาติเกาหลี หรือ ทีมในเควัน แล้วย่อมได้ค่าตอบแทนที่มากกว่า แถมได้อยู่ใกล้ชิดกับครอบครัว ใช้ภาษาในการสื่อสารที่เป็นภาษาของตนเอง เข้าใจในวัฒนธรรมและการดำรงชีพของลูกทีมได้อย่างแท้จริง บลาๆๆๆ ส่วนหากว่าสุดท้ายแล้วโค้ชไม่อยู่ทำทีมต่อท่านนายกรัฐมนตรีเวียดนามก็ได้ใจประชาชนชาวเวียดนามไปเต็มๆ
หันมาดูที่เมืองไทยบ้างเมื่อพูดถึงโค้ชต่างชาติแล้วผมนึกได้สองคน คนแรกคือ “ฟอนตาเนียน”ที่เป็นโค้ชมวยไทยสมัครเล่น และ โค้ชเทควันโด้ “โค้ชเช” ที่ทั้งสองคนนั้นสร้างนักกีฬาจนไทยได้รับเหรียญในระดับโอลิมปิคมาแล้วมากมาย นับได้ว่ามีฝีมือในระดับต้นๆของโลกที่ใครๆก็ต้องการตัว แต่ทั้งสองคนตัดสินใจมาทำทีมให้ประเทศไทย ที่ค่าตอบแทนก็น้อยกว่าแถมโอกาสในการคว้าเหรียญได้ก็น้อยกว่าอีกด้วย แต่ด้วยสปิริตและความผูกพันกับคนไทย กับนักกีฬาไทย และกับชาติไทย ทั้งสองคนเลยไม่หนีไปไหน นอกจากนี้แล้วทางสมาคมกีฬาทั้งมวยและเทควันโด้โดยนายกสมาคม และกรรมการบริหารตลอดจนทีมงาน และนักกีฬา คงได้ทำการผูกใจของโค้ชทั้งสองไว้กับประเทศไทย นักกีฬาไทย มิฉนั้นแล้วทั้งสองคนคงเลือกไปทำทีมที่ได้เงินมากกว่า โอกาสประสบความสำเร็จได้มากกว่า
แล้ว.....ผู้นำไทยไม่ว่านะระดับใด โดยเฉพาะในระดับชาติน่าจะได้แสดงออกถึง “ผู้นำในดวงใจ” ของคนในวงการกีฬา คนไทยที่รักในกีฬา และวงการกีฬาของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นวันเกิด วันครบรอบแต่งงาน หรือ วันสำคัญของโค้ชคนนั้นๆ หากได้กระทำการสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วเชื่อว่าน่าจะเป็นการ “ผูกใจ” ของโค้ชได้แบบลึกซึ้งอย่างแน่อนอน ผมได้บัญญัติคำคมไว้ท่อนหนึ่งที่อยากจะนำมาเผยแพร่เพื่อการรักษาคน และ ใจของคนไว้ คือ “รู้จัก รู้ใจ รู้ว่าห่วงใย และทำอะไรเป็นพิเศษ” ซึ่งทางนายกรัฐมนตรีเวียดนามได้ทำให้ดูเป็นตัวอย่างแล้ว ก็หวังว่า รมต. นายกรัฐมนตรีไทยจะได้นำไปเป็นแนวทางในการปฏิบัติบ้าง .....ก็ยังดี... หรือเปล่า ??
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น