วันจันทร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

นี่แหละ “ผู้นำ” ในดวงใจ

            

ข่าวเล็กๆในไทยรัฐ เมื่อ 10 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมาที่แทบจะไม่ค่อยมีคนสนใจเท่าใดข่าวหนึ่ง คือ   "เหงียน ซวน ฟุก" นายกรัฐมนตรีเวียดนาม ส่งของขวัญวันตรุษจีน ถึงมือของ "ปาร์ค ฮังซอ" กุนซือทีมฟุตบอลทัพดาวทอง หวังให้โค้ชอยู่ยาว ช่วยทีมชาติเวียดนามต่อ 

ข่าวนี้ดูเหมือนไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจในมุมมองของการกีฬามากเท่าใดนัก  แต่ในมุมมองของการเป็นผู้นำแล้วผมคิดว่า   มันเป็นสิ่งทีอยู่ในตำราหรือในคุณสมบัติที่ผู้นำควรมีนั่นก็คือ   การจูงใจและสร้างแรงบันดาลใจแก่บุคคล (Motivating and Inspiring People)   การกระทำของนายกรัฐมนตรีเวียดนามนี้เป็นการเข้าถึงในสองด้าน    ด้านแรกคือการเข้าถึงหัวใจของชาวเวียดนามที่คลั่งใคล้ฟุตบอล  ซึ่งนับแต่โค้ชชาวเกาหลีคนนี้มาทีมชาติเวียดนามประสบความสำเร็จในหลายๆมิติ  พร้อมทั้งโค้ชได้ตั้งเป้าหมาย สำคัญคือ เข้ารอบ 12 ทีมสุดท้ายฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก, คว้าแชมป์ซีเกมส์ และป้องกันแชมป์ เอเอฟเอฟ อาเซียน คัพ 2020    ส่วนอีกด้านหนึ่งก็เข้าถึงหัวใจของโค้ชเพราะว่ามีทั้งทีมชาติเกาหลี  และ ทีมในเควันของเกาหลีจ้องจะฉกตัวไปทำทีมเพราะว่าโค้ชยังมีสัญญากับทางเวียดนามอีก 1 ปี    

            การกระทำนี้แม้มูลค่าของสิ่งของที่มอบให้นั้นอาจจะไม่มากมายนัก  แต่นับว่าได้ใจของโค้ชไปเต็มๆเพราะว่า  ขนาดนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้นำของประเทศยังเห็นความสำคัญของโค้ชคนนี้  แน่นอนว่าค่าตอบแทนหากโค้ชฉีกสัญญาและไปทำทีมให้ทีมชาติเกาหลี หรือ ทีมในเควัน  แล้วย่อมได้ค่าตอบแทนที่มากกว่า  แถมได้อยู่ใกล้ชิดกับครอบครัว   ใช้ภาษาในการสื่อสารที่เป็นภาษาของตนเอง  เข้าใจในวัฒนธรรมและการดำรงชีพของลูกทีมได้อย่างแท้จริง บลาๆๆๆ      ส่วนหากว่าสุดท้ายแล้วโค้ชไม่อยู่ทำทีมต่อท่านนายกรัฐมนตรีเวียดนามก็ได้ใจประชาชนชาวเวียดนามไปเต็มๆ

            หันมาดูที่เมืองไทยบ้างเมื่อพูดถึงโค้ชต่างชาติแล้วผมนึกได้สองคน  คนแรกคือ “ฟอนตาเนียน”ที่เป็นโค้ชมวยไทยสมัครเล่น  และ โค้ชเทควันโด้  “โค้ชเช”  ที่ทั้งสองคนนั้นสร้างนักกีฬาจนไทยได้รับเหรียญในระดับโอลิมปิคมาแล้วมากมาย   นับได้ว่ามีฝีมือในระดับต้นๆของโลกที่ใครๆก็ต้องการตัว   แต่ทั้งสองคนตัดสินใจมาทำทีมให้ประเทศไทย  ที่ค่าตอบแทนก็น้อยกว่าแถมโอกาสในการคว้าเหรียญได้ก็น้อยกว่าอีกด้วย  แต่ด้วยสปิริตและความผูกพันกับคนไทย  กับนักกีฬาไทย  และกับชาติไทย   ทั้งสองคนเลยไม่หนีไปไหน  นอกจากนี้แล้วทางสมาคมกีฬาทั้งมวยและเทควันโด้โดยนายกสมาคม และกรรมการบริหารตลอดจนทีมงาน และนักกีฬา   คงได้ทำการผูกใจของโค้ชทั้งสองไว้กับประเทศไทย  นักกีฬาไทย  มิฉนั้นแล้วทั้งสองคนคงเลือกไปทำทีมที่ได้เงินมากกว่า   โอกาสประสบความสำเร็จได้มากกว่า

แล้ว.....ผู้นำไทยไม่ว่านะระดับใด  โดยเฉพาะในระดับชาติน่าจะได้แสดงออกถึง “ผู้นำในดวงใจ” ของคนในวงการกีฬา  คนไทยที่รักในกีฬา  และวงการกีฬาของประเทศไทย  ไม่ว่าจะเป็นวันเกิด  วันครบรอบแต่งงาน หรือ วันสำคัญของโค้ชคนนั้นๆ   หากได้กระทำการสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วเชื่อว่าน่าจะเป็นการ “ผูกใจ” ของโค้ชได้แบบลึกซึ้งอย่างแน่อนอน    ผมได้บัญญัติคำคมไว้ท่อนหนึ่งที่อยากจะนำมาเผยแพร่เพื่อการรักษาคน และ ใจของคนไว้  คือ  “รู้จัก รู้ใจ รู้ว่าห่วงใย และทำอะไรเป็นพิเศษ”   ซึ่งทางนายกรัฐมนตรีเวียดนามได้ทำให้ดูเป็นตัวอย่างแล้ว   ก็หวังว่า รมต. นายกรัฐมนตรีไทยจะได้นำไปเป็นแนวทางในการปฏิบัติบ้าง .....ก็ยังดี... หรือเปล่า ??

 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ขายรัย...ทำไมเราอิน (มาก)

                                                   เครดิตภาพจาก "เฟสบุคไทรสุก"           สองอาทิตย์ก่อนไปเห็นน้องคนหนึ่งที่เป็...